ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา
รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ผู้บริหารฝ่ายกฎหมาย/ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินของสถาบันการเงิน โดยเน้นการแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรับผิดทางแพ่งและความผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อรถยนต์ผิดนัดและไม่ยอมคืนรถยนต์ที่ถูกบอกเลิกสัญญา การวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ. มาตรา 352) และแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่สำคัญ
I. หลักการพื้นฐานและสถานะทางกฎหมายของการเช่าซื้อรถยนต์
๑.๑ คำนิยามและสาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ
สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 572 โดยมีสาระสำคัญคือ สัญญาเช่าที่เจ้าของทรัพย์สินให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว.
สถานะทางกฎหมายของทรัพย์สินภายใต้สัญญาเช่าซื้อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณาความรับผิดทางอาญา การที่บริษัทไฟแนนซ์ (ผู้ให้เช่าซื้อ) นำรถยนต์ออกให้เช่าซื้อนั้น ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นตามมาตรา 572. ในระหว่างที่สัญญาเช่าซื้อยังคงมีผลใช้บังคับและผู้เช่าซื้อยังชำระเงินไม่ครบถ้วน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออย่างสมบูรณ์. ผู้เช่าซื้อจึงมีสถานะเป็นเพียงผู้ครอบครองทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมายตามเงื่อนไขของสัญญาเท่านั้น และมีอำนาจใช้สอยรถยนต์ดังกล่าว.
๑.๒ การสิ้นสุดของสัญญาเช่าซื้อและการเกิดหน้าที่ต้องคืนทรัพย์
การสิ้นสุดของสัญญาเช่าซื้อเกิดขึ้นได้หลายกรณี กรณีที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้เสียคือ การที่ผู้ให้เช่าซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเนื่องจากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ. ตามหลักกฎหมายแพ่ง ป.พ.พ. มาตรา 574 กำหนดให้เจ้าของทรัพย์สิน (ผู้ให้เช่าซื้อ) มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆ กัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ. อย่างไรก็ตาม ภายใต้ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561 ได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเชิงคุ้มครองผู้บริโภค โดยทั่วไป การที่ผู้ให้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาได้นั้น ผู้เช่าซื้อจะต้องผิดนัดไม่ชำระค่างวดติดต่อกันถึงสามงวด และผู้ให้เช่าซื้อต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดก่อน.
เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้ออย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับสิ้นสุดลง. ผลทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดคือ ผู้เช่าซื้อจะสูญเสียสิทธิในการครอบครองรถยนต์ทันที และมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องส่งมอบรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทไฟแนนซ์คืนแก่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์.
๑.๓ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ป.อ. มาตรา 352)
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เป็นความผิดทางอาญาต่อทรัพย์สิน มีองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้ :
- ทรัพย์สินของผู้อื่น: รถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งกรรมสิทธิ์ยังเป็นของไฟแนนซ์.
- อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด: ผู้เช่าซื้อครอบครองรถตามสัญญาเช่าซื้อโดยชอบ.
- เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม: การกระทำที่แสดงว่าผู้ครอบครองไม่ถือว่าทรัพย์นั้นเป็นของเจ้าของอีกต่อไป แต่เอาไปใช้ประโยชน์หรือตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอย่างชัดเจน.
- โดยทุจริต: เจตนาแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย.
ข้อสังเกตทางกฎหมายอาญาคือ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์นี้เป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 356. ผลของการเป็นคดีอันยอมความได้คือ ผู้เสียหายจะต้องร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้คือสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 96 ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ต้องพิจารณาในการดำเนินคดีต่อไป.
II. การวิเคราะห์สถานการณ์ที่ ๑: การไม่คืนรถหลังบอกเลิกสัญญา แต่ก่อนการฟ้องคดีแพ่ง
๒.๑ ปัญหาหลัก: การไม่คืนรถตามคำบอกเลิกสัญญา ถือเป็นการ "เบียดบังโดยทุจริต" หรือไม่?
ประเด็นที่ผู้ให้เช่าซื้อต้องการทราบคือ การที่ผู้เช่าซื้อปฏิเสธที่จะส่งมอบรถยนต์คืนแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ภายหลังการบอกเลิกสัญญาแล้ว จะสามารถถือได้ว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์โดยทุจริตอันเป็นความผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ การวิเคราะห์ในส่วนนี้เป็นจุดแบ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างความรับผิดทางแพ่งและความรับผิดทางอาญา
ตามหลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกา การผิดนัดชำระหนี้และการไม่คืนทรัพย์ตามการทวงถาม ไม่ได้เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์โดยอัตโนมัติ หากจะมีความผิดทางอาญา ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าผู้เช่าซื้อมี "เจตนาทุจริต" ในการเบียดบังทรัพย์นั้นไว้เพื่อตนเองหรือบุคคลที่สามอย่างชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยพฤติการณ์ที่เกินกว่าการผิดสัญญาและเพิกเฉยต่อการส่งมอบคืน
๒.๒ แนววินิจฉัย: เมื่อถือเป็นเพียง "การผิดสัญญาทางแพ่ง"
โดยหลักการแล้ว การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระและถูกบอกเลิกสัญญาอย่างถูกต้องตามมาตรา 574 แล้ว แต่ยังคงเพิกเฉยหรือไม่นำรถมาคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อตามหน้าที่ที่เกิดขึ้นจากการสิ้นสุดของสัญญา หากไม่มีพฤติการณ์อื่นใดบ่งชี้ถึงการตัดกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อโดยเด็ดขาด ย่อมถือเป็นเพียงการ ผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น.
ผลในทางแพ่งคือ ผู้เช่าซื้อมีความรับผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อตลอดเวลาที่ยังครอบครองทรัพย์พิพาทอยู่ (เช่น ค่าใช้ทรัพย์) และค่าขาดราคาที่เกิดขึ้นจากการที่ไฟแนนซ์ต้องนำรถออกขายทอดตลาดในราคาที่ลดลง.
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาได้วางหลักการนี้ไว้อย่างมั่นคง ดังเช่น:
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5547/2530: ศาลวินิจฉัยว่า การที่จำเลย (ผู้เช่าซื้อ) ผิดสัญญา ผู้เสียหายบอกเลิกสัญญาและให้ส่งรถคืน แต่จำเลยไม่ส่งคืนและพารถหลบหนีไป การกระทำนี้ยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการเบียดบังโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หากแต่เป็นเพียงการกระทำที่แสดงถึงการผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น.
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2550: ยืนยันหลักการเดียวกันว่า แม้จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบคืนทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงหลังการบอกเลิกสัญญา และแม้มีการทำบันทึกข้อตกลงที่สถานีตำรวจเรื่องการนัดหมายส่งมอบคืน การไม่ส่งมอบคืนตามข้อตกลงดังกล่าว ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการเบียดบังที่จะเอาทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริต กรณีจึงเป็นเพียงเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่มีมูลความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์.
๒.๓ แนววินิจฉัย: เมื่อถือเป็น "ความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์"
ความผิดอาญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เช่าซื้อได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการ เบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริตอย่างชัดเจน ซึ่งหมายถึงการกระทำที่แสดงถึงเจตนาตัดสิทธิและปฏิเสธกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อโดยเด็ดขาด.
พฤติการณ์สำคัญที่ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าถือเป็นการเบียดบังโดยทุจริต ได้แก่:
- การนำทรัพย์ไปจำนำหรือขายต่อ: การที่ผู้เช่าซื้อนำรถที่เช่าซื้อไปจำนำ ถือเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ย่อมเป็นความผิดฐานยักยอก. ในทางเดียวกัน หากมีการนำไปขายโดยไม่มีเจตนาที่จะนำกลับมาคืนหรือชดใช้ราคาให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ ก็เข้าข่ายการเบียดบังเช่นกัน.
- การซ่อนเร้นหรืออ้างว่าสูญหายโดยทุจริต: หากผู้เช่าซื้อถูกทวงถามและแจ้งให้คืนรถ แต่กลับเพิกเฉยและอ้างว่ารถสูญหาย โดยเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังปกปิดและซุกซ่อนรถยนต์โดยมีเจตนาที่จะไม่ส่งมอบคืนแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการเบียดบังโดยทุจริตและเป็นความผิดฐานยักยอก.(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4781/2555)
อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับเจตนาทุจริตในกรณีการจำนำ ศาลฎีกาเคยมีแนววินิจฉัยว่า หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การนำทรัพย์ที่เช่าซื้อไปจำนำหรือวางไว้เป็นประกันหนี้เป็นเพียงชั่วคราว โดยผู้เช่าซื้อมีเจตนาที่จะไถ่ถอนทรัพย์สินนั้นคืนภายหลัง การกระทำนี้ยังไม่ถือเป็นการเบียดบังทรัพย์สินในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอย่างเด็ดขาด จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก. แต่หากไม่มีเจตนาหรือไม่สามารถไถ่ถอนคืนได้เลย ย่อมเป็นยักยอก.
๒.๔ ข้อควรระวังเชิงกลยุทธ์: ความเสี่ยงด้านอายุความร้องทุกข์ ๓ เดือน
ความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นความผิดอันยอมความได้ และมีอายุความร้องทุกข์ที่สั้นมากคือ สามเดือน นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 96.
ในทางปฏิบัติ การที่บริษัทไฟแนนซ์ทราบว่าผู้เช่าซื้อผิดนัดและบอกเลิกสัญญา มักจะเริ่มจากการดำเนินคดีทางแพ่งก่อน ซึ่งกระบวนการทางแพ่งใช้เวลานาน แต่หากผู้ให้เช่าซื้อทราบถึงพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการเบียดบังโดยทุจริตอย่างชัดเจน (เช่น ทราบว่ารถถูกนำไปจำนำแล้ว) สิทธิในการฟ้องร้องคดีอาญาจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ทราบการกระทำนั้น. หากไฟแนนซ์เลือกที่จะรอผลการฟ้องคดีแพ่ง หรือรอการสืบหาทรัพย์สินจนล่วงเลยกำหนด 3 เดือนนับจากวันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะระงับไปทันทีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6).
ดังนั้น การดำเนินคดีทางอาญาฐานยักยอกจึงไม่สามารถทำตามหลังการดำเนินคดีทางแพ่งได้โดยอัตโนมัติ แต่ต้องวางแผนการดำเนินการแบบ คู่ขนาน โดยเน้นการสืบหาพยานหลักฐานการเบียดบังโดยทุจริต และรีบดำเนินการร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน เพื่อให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่หมดอายุความ
III. การวิเคราะห์สถานการณ์ที่ ๒: การไม่คืนรถหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้คืนรถ
๓.๑ สถานะทางกฎหมายภายหลังคำพิพากษาคดีแพ่ง
เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องให้ผู้เช่าซื้อคืนรถยนต์ และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เช่าซื้อ (จำเลย) ต้องส่งมอบรถยนต์คืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อ (โจทก์) สถานะทางกฎหมายของผู้เช่าซื้อจะเปลี่ยนไป การที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วเป็นการยืนยันสิทธิในทรัพย์สินของผู้ให้เช่าซื้ออย่างเป็นทางการ และผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ในฐานะ ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล.
๓.๒ กลไกการบังคับคดีทางแพ่ง
หากลูกหนี้ตามคำพิพากษายังคงไม่ยอมส่งมอบรถยนต์คืน การดำเนินการทางกฎหมายจะเข้าสู่กระบวนการ บังคับคดีทางแพ่ง โดยเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดี และตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าดำเนินการ.
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.แพ่ง) หมวด 3 ว่าด้วยการบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง (มาตรา 346 - 349) เป็นกลไกหลักที่ใช้ในการนี้. เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจดำเนินการเพื่อให้มีการส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นคืนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา. หากไม่สามารถบังคับเอาตัวทรัพย์สินคืนได้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็สามารถขอให้ศาลมีคำสั่งให้ลูกหนี้ชำระราคาของทรัพย์สินแทน.
๓.๓ การไม่คืนรถตามคำพิพากษา ถือเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกหรือไม่
โดยหลักการแล้ว การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งที่ให้คืนรถยนต์ ไม่ได้เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์โดยตรง
เหตุผลคือ องค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานยักยอกทรัพย์คือการ "เบียดบังโดยทุจริต". การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลไกและมาตรการบังคับคดีทางแพ่งตาม ป.วิ.แพ่ง. การขัดขืนคำสั่งศาลให้คืนทรัพย์ในคดีแพ่งแม้จะผิดกฎหมาย แต่เป็นความผิดที่มุ่งหมายจะแก้ไขเยียวยาด้วยมาตรการทางแพ่ง (การบังคับให้คืนทรัพย์หรือชดใช้ราคา) และไม่ได้เพิ่มพฤติการณ์ที่แสดงถึงเจตนาทุจริตในการตัดกรรมสิทธิ์ที่จำเป็นสำหรับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 352. หากศาลถือว่าการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาแพ่งเป็นความผิดอาญาโดยอัตโนมัติ จะเป็นการสร้างภาระเกินควรต่อระบบกฎหมายอาญาและลดความสำคัญของการบังคับคดีทางแพ่ง
ดังนั้น การดำเนินคดีในสถานการณ์นี้จึงยังคงเป็นเรื่องของการบังคับคดีตามคำพิพากษาในทางแพ่งเป็นหลัก เว้นแต่มีการกระทำอันเป็นพฤติการณ์ใหม่ที่แสดงเจตนาทุจริต เช่น หลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยกลับนำรถไปขายหรือทำลายทรัพย์สินนั้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจนำมาพิจารณาเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ได้อีกครั้ง เนื่องจากเป็นการกระทำที่ทำให้การบังคับคดีแพ่งในทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยมีเจตนาทุจริต.
IV. สรุปข้อพิจารณาทางกฎหมายและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ให้เช่าซื้อ
๔.๑ ข้อสรุปความแตกต่างของเจตนาทางกฎหมาย
การตัดสินใจดำเนินคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่ง (การไม่คืนรถ) และการเบียดบังโดยทุจริตทางอาญา (การกระทำที่ปฏิเสธกรรมสิทธิ์ของเจ้าของโดยสิ้นเชิง)
๔.๒ กลยุทธ์ในการดำเนินคดีแบบบูรณาการ
เนื่องจากความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นความผิดอันยอมความได้ และมีอายุความร้องทุกข์เพียงสามเดือน หากบริษัทไฟแนนซ์ทราบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการเบียดบังโดยทุจริต การรอผลการฟ้องร้องคดีแพ่งที่ใช้เวลานานจะทำให้สิทธิทางอาญาหมดอายุความไปโดยปริยาย
ความเข้าใจในข้อจำกัดนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ให้เช่าซื้อไม่สามารถพึ่งพิงการบอกเลิกสัญญาหรือการฟ้องแพ่งเพียงอย่างเดียวเพื่อสร้างความผิดอาญา การดำเนินคดีที่เหมาะสมที่สุดคือการดำเนินการในลักษณะ คู่ขนานและบูรณาการ หากมีข้อสงสัยว่ามีการเบียดบังโดยทุจริตเกิดขึ้น (เช่น มีการนำรถไปจำนำหรือขายต่อ) ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องดำเนินการในทันทีเพื่อ:
- เร่งรัดการสืบหาพยานหลักฐานทุจริต: ทันทีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดถึงขั้นสามารถบอกเลิกสัญญาได้ ควรมีการสืบหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต" และการกระทำที่แสดงถึงการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของ (Active Misappropriation) เช่น หลักฐานการนำรถไปจำนำ หรือการซ่อนเร้นรถยนต์.
- การนับอายุความที่เข้มงวด: วันที่ผู้ให้เช่าซื้อทราบว่ารถถูกเบียดบังไปจำนำหรือขาย ถือเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความ 3 เดือนตาม ป.อ. มาตรา 96. ไฟแนนซ์ต้องยื่นคำร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือนนี้ เพื่อรักษาสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไว้ ซึ่งหากล่วงเลยกำหนด สิทธิดังกล่าวจะระงับไปทันที.
๔.๓ ข้อเสนอแนะในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต"
การฟ้องร้องคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์จะประสบความสำเร็จได้ต่อเมื่อมีการพิสูจน์เจตนาทุจริตที่ชัดเจนและเหนือกว่าการผิดนัดชำระหนี้ทางแพ่ง พยานหลักฐานที่สำคัญ ได้แก่:
- หลักฐานการกระทำที่ชัดเจน: ต้องมีหลักฐานยืนยันว่าผู้เช่าซื้อได้ดำเนินการ "จำหน่าย จ่าย โอน" หรือ "ซ่อนเร้น" ทรัพย์สินนั้น.
- การแยกแยะการแจ้งความ: หากมีการแจ้งความดำเนินคดีอาญา ต้องบรรยายฟ้องหรือให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนอย่างสมบูรณ์ มิใช่เพียงแต่ระบุถึงการผิดนัดไม่คืนรถตามสัญญา. การที่ผู้ให้เช่าซื้อเลือกที่จะทำบันทึกตกลงเรื่องค่าเสียหายทางแพ่งที่สถานีตำรวจโดยไม่มีพฤติการณ์เบียดบังชัดเจน อาจถูกตีความว่าเป็นการดำเนินการทางแพ่ง และทำให้คดีอาญาไม่มีมูลได้.
V. บทสรุปทางกฎหมาย
โดยสรุป การที่ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อเกิน 3 งวดติดต่อกัน และถูกผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาแล้ว หากผู้เช่าซื้อไม่คืนรถ และผู้ให้เช่าซื้อเลือกที่จะแจ้งความดำเนินคดีอาญาโดยที่ยังไม่มีการฟ้องคดีแพ่งต่อศาล ผู้เช่าซื้อจะมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 352 ได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์ที่แสดงถึง เจตนาทุจริตในการเบียดบังทรัพย์สิน อย่างชัดเจน เช่น การนำรถไปจำนำ ขาย หรือซ่อนเร้นอย่างถาวร. หากเป็นเพียงการเพิกเฉย ไม่คืนรถตามคำบอกเลิกสัญญา ถือเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5547/2530 และ 416/2550.
ส่วนกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องคดีแพ่งจนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เช่าซื้อคืนรถ แต่จำเลยยังคงไม่คืนรถยนต์นั้น การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวโดยตัวของมันเอง ไม่ถือว่าเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์. การแก้ไขปัญหาการไม่คืนรถหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด จะต้องดำเนินการโดยใช้มาตรการ บังคับคดีทางแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 346–349 เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเข้ายึดทรัพย์ หรือขอให้ศาลสั่งให้ชดใช้ราคาทรัพย์สินแทน. การดำเนินการทางอาญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์ทุจริตใหม่เกิดขึ้นหลังคำพิพากษา หรือผู้ให้เช่าซื้อได้ทำการร้องทุกข์ภายในอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่รู้ถึงการเบียดบังโดยทุจริตแต่แรก.




