รายงานการขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบในคดีอาญา: หลักการ วิธีการ และบทบาทของทนายความ
บทนำ: ภูมิทัศน์ทางกฎหมายของของกลางและการริบทรัพย์สินในคดีอาญา
1.1 คำนิยามและประเภทของ "ของกลาง"
ของกลางในคดีอาญา หมายถึง สิ่งของหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งเจ้าพนักงานมีอำนาจยึดไว้เพื่อใช้ในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหาหรือจำเลยตามกฎหมาย. การยึดของกลางนี้เป็นอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 85 และ มาตรา 132.
โดยทั่วไปแล้ว ของกลางสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักตามวัตถุประสงค์ในการยึด ได้แก่ ของกลางที่ยึดไว้เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานเพียงอย่างเดียว และของกลางที่ยึดไว้เพื่อให้ศาลสั่งริบได้ด้วย.
สำหรับของกลางประเภทที่สอง ซึ่งเป็นประเด็นหลักของรายงานฉบับนี้ กฎหมายอาญาได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการริบทรัพย์สินไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และ มาตรา 33 โดยมีข้อพิจารณาที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ:
-
สิ่งของที่มีไว้เป็นความผิด (โทษริบเด็ดขาด):
ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดนั้น จะถูกริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าทรัพย์นั้นจะเป็นของผู้กระทำความผิดหรือไม่ หรือมีการลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ก็ตาม. การริบทรัพย์ตามมาตรา 32 นี้เป็นมาตรการบังคับเด็ดขาด เนื่องจากถือว่าตัวทรัพย์สินนั้นเองเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและต้องถูกกำจัด. ตัวอย่างเช่น ยาเสพติดให้โทษ, อาวุธปืนเถื่อน, ธนบัตรปลอม, หรือไม้หวงห้าม. ทรัพย์สินประเภทนี้ไม่สามารถขอคืนได้ในทุกกรณี. -
สิ่งของที่ใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิด (โทษริบโดยดุลพินิจ):
ทรัพย์สินเหล่านี้สามารถริบได้ตามดุลยพินิจของศาลภายใต้มาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายอาญา. ตัวอย่างของทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิด ได้แก่ รถยนต์ที่มีทะเบียนถูกต้องแต่ถูกนำไปใช้ขับแข่งในทางสาธารณะ หรือเลื่อยที่ใช้ตัดไม้หวงห้าม. ส่วนทรัพย์สินที่ได้มาโดยการกระทำความผิด เช่น ไม้เถื่อนหรือทองที่ได้จากการลักทรัพย์.
ความสำคัญของทรัพย์สินประเภทนี้คือ กฎหมายได้เปิดช่องให้เจ้าของทรัพย์สินซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด สามารถขอคืนทรัพย์สินนั้นได้.
ความแตกต่างในเจตนารมณ์ของกฎหมายนี้ทำให้สิทธิในการขอคืนของกลางแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การริบทรัพย์ตามมาตรา 32 มุ่งกำจัดตัวทรัพย์สินที่เป็นอันตรายโดยเนื้อแท้ ในขณะที่การริบตามมาตรา 33 มุ่งลงโทษการกระทำความผิดของผู้กระทำผิด โดยที่ตัวทรัพย์เป็นเพียงเครื่องมือหรือผลของการกระทำความผิดเท่านั้น. ด้วยเหตุนี้ หากผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินสามารถพิสูจน์ความสุจริตของตนได้ ทรัพย์สินนั้นก็ควรได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายและได้รับคืนในภายหลัง.
1.2 ความแตกต่างของการริบทรัพย์สินตามกฎหมายเฉพาะ
นอกเหนือจากประมวลกฎหมายอาญาแล้ว การริบทรัพย์สินยังสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายพิเศษ เช่น พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน. กฎหมายเหล่านี้ได้ขยายขอบเขตการริบทรัพย์สินให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมีข้อแตกต่างที่สำคัญดังนี้:
-
การริบทรัพย์สินตามกฎหมายอาญา (การริบทรัพย์สินทางอาญา):
การริบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญาจะผูกติดโดยตรงกับตัวคดีและตัวทรัพย์ที่เป็นของกลาง. หากทรัพย์สินของกลางมีการเปลี่ยนสภาพไป เช่น รถยนต์ที่ใช้ขนยาเสพติดถูกขายไปเป็นเงินสด 1 ล้านบาท ประมวลกฎหมายอาญาจะไม่สามารถสั่งริบเงินจำนวนนั้นได้ เพราะไม่ใช่รถยนต์ของกลางเดิมอีกต่อไป. -
การริบทรัพย์สินตามกฎหมายเฉพาะ (การริบทรัพย์สินทางแพ่ง):
กฎหมายมาตรการฯ ยาเสพติด และกฎหมายฟอกเงินได้ขยายขอบเขตการริบทรัพย์ไปถึง "ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิด" ซึ่งสามารถริบได้แม้ทรัพย์นั้นจะเปลี่ยนสภาพไปแล้ว หรือแม้จะอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น. เงิน 1 ล้านบาทที่ได้จากการขายรถยนต์คันดังกล่าวสามารถถูกริบได้ภายใต้กฎหมายเหล่านี้.
ที่สำคัญไปกว่านั้น กฎหมายฟอกเงินใช้มาตรการ "ริบทรัพย์สินทางแพ่ง" ซึ่งสามารถดำเนินการได้โดย ไม่ผูกติดกับคดีอาญาหลัก. นั่นหมายความว่า แม้คดีอาญาจะไม่มีการฟ้องร้องหรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดมูลฐานก็ยังสามารถถูกริบให้ตกเป็นของแผ่นดินได้.
การทำความเข้าใจความแตกต่างของกฎหมายที่ใช้ในการริบทรัพย์สินมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ที่ต้องการขอคืนของกลาง เพราะช่องทางและประเด็นข้อต่อสู้จะแตกต่างกันไป หากทรัพย์ถูกริบด้วยกฎหมายฟอกเงิน ผู้เป็นเจ้าของต้องพิสูจน์แหล่งที่มาของทรัพย์สินว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับความผิดมูลฐานและแสดงความสุจริตในทุกขั้นตอน. นี่คือความซับซ้อนที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ.
การขอคืนของกลางหลังศาลมีคำสั่งให้ริบแล้ว (มาตรา 36)
2.1 หลักเกณฑ์และเงื่อนไขทางกฎหมาย
เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ริบทรัพย์สินไปแล้ว บุคคลภายนอกผู้สุจริตยังมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนทรัพย์สินนั้นได้ภายใต้เงื่อนไขตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36. หลักเกณฑ์สำคัญในการพิจารณา ได้แก่:
-
ผู้มีสิทธิยื่นคำร้อง:
ผู้ร้องจะต้องเป็น "เจ้าของที่แท้จริง" หรือผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น. สิทธินี้เป็นของบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่จำเลยในคดี. หากผู้ร้องเป็นจำเลยที่ถูกดำเนินคดี จะไม่มีสิทธิขอคืนของกลางตามมาตรา 36 นี้. -
เงื่อนไขความบริสุทธิ์:
ผู้ร้องจะต้องแสดงพยานหลักฐานที่ชัดเจนให้ศาลเห็นว่าตน "มิได้รู้เห็นเป็นใจ" กับการกระทำความผิดของจำเลย และไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้จำเลยนำทรัพย์สินไปใช้กระทำความผิด. -
เงื่อนไขทางเวลา:
ผู้ร้องต้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางต่อศาลภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด. -
เงื่อนไขของตัวทรัพย์:
ทรัพย์สินที่ถูกริบนั้นจะต้องยังคงอยู่ในความครอบครองของเจ้าพนักงานหรือรัฐ.
2.2 ขั้นตอนการยื่นคำร้องและการพิจารณาของศาล
การดำเนินการขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบแล้ว มีขั้นตอนดังนี้:
-
การยื่นคำร้อง:
ผู้มีสิทธิขอคืนจะต้องจัดทำคำร้องอย่างเป็นทางการและยื่นต่อศาลที่มีคำสั่งให้ริบทรัพย์สินนั้น. คำร้องจะต้องระบุเหตุผลและหลักฐานในการแสดงสิทธิในทรัพย์สินอย่างชัดเจน. -
กระบวนการไต่สวน:
เมื่อศาลรับคำร้องแล้ว ศาลจะนัดไต่สวนเพื่อรับฟังพยานหลักฐานจากทั้งฝ่ายผู้ร้องและฝ่ายผู้คัดค้าน (เช่น พนักงานอัยการ). -
คำสั่งของศาล:
หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ร้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิด ศาลก็จะสั่งให้คืนทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ร้อง. คำสั่งของศาลนี้สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ตามกฎหมาย.
2.3 บทวิเคราะห์เชิงลึกจากแนวคำพิพากษาศาลฎีกา
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับได้วางหลักการที่สำคัญยิ่งในการวินิจฉัยคดีขอคืนของกลาง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนในทางปฏิบัติ:
-
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2550:
คำวินิจฉัยนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการชี้ขาดเรื่องการนับระยะเวลา 1 ปีตามมาตรา 36. ศาลได้ยืนยันว่าการนับระยะเวลาดังกล่าวจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่คำพิพากษาในคดีที่ริบทรัพย์สินนั้นถึงที่สุด ไม่ใช่วันที่คดีอื่นที่เกี่ยวข้องถึงที่สุดในภายหลัง. การยื่นคำร้องที่ล่วงเลยระยะเวลาที่กำหนดจะทำให้ศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องนั้นได้. -
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2541:
แนวคำพิพากษานี้ยืนยันว่า สิทธิในการขอคืนของกลางตามมาตรา 36 นั้นเป็นสิทธิเฉพาะของ "บุคคลภายนอก" ผู้สุจริตเท่านั้น. หากผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินคือจำเลยในคดีนั้น แม้จะอ้างว่าตนไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ จำเลยก็ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตามมาตรานี้ แต่จะต้องต่อสู้โดยการนำพยานหลักฐานเข้าสืบในชั้นพิจารณาคดีหลัก หรือใช้สิทธิอุทธรณ์/ฎีกาตามขั้นตอนปกติ. -
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2539 และ 665/2531:
คำวินิจฉัยทั้งสองได้วางหลักการเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในของกลางอย่างชัดเจน. หากผู้ร้องได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นมาโดยสุจริตภายหลังการกระทำความผิดแต่ก่อนที่คดีจะถึงที่สุด ผู้ร้องถือว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริงและมีสิทธิขอคืนได้. แต่ในทางตรงกันข้าม หากผู้ร้องได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จะถือว่าทรัพย์นั้นได้ตกเป็นของแผ่นดินไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนอีกต่อไป.
การวิเคราะห์แนวคำพิพากษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คำว่า "เจ้าของที่แท้จริง" ตามกฎหมายไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การมีชื่อในเอกสารสิทธิ์ แต่ยังรวมถึงสถานะทางกฎหมายของผู้ร้องว่าเป็นจำเลยหรือบุคคลภายนอก และช่วงเวลาที่ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์มา ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาดในทางปฏิบัติ.
วิธีการชั่วคราวในการขอคืนของกลางก่อนคดีถึงที่สุด
3.1 หลักการและเหตุผลในการขอคืนชั่วคราว
ก่อนที่คดีจะถึงที่สุดและศาลมีคำพิพากษา ของกลางที่ถูกยึดไว้ยังคงมีสถานะเป็นเพียงพยานหลักฐานในคดีอาญา. อย่างไรก็ตาม หากทรัพย์สินนั้นมีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตประจำวัน หรือเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพจากการถูกยึดไว้เป็นเวลานาน เจ้าของสามารถยื่นคำร้องขอรับของกลางไปดูแลรักษาหรือใช้ประโยชน์ชั่วคราวได้.
หลักการนี้มีเหตุผลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเจ้าของทรัพย์สิน และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับของกลางในระหว่างการดำเนินคดี. การขอคืนชั่วคราวนี้จะทำได้เฉพาะกับทรัพย์สินที่ไม่ได้เป็นความผิดในตัวเองเท่านั้น.
3.2 ขั้นตอนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การขอคืนของกลางชั่วคราวสามารถทำได้ในแต่ละชั้นของกระบวนการยุติธรรม โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบแตกต่างกันไป:
-
ชั้นพนักงานสอบสวน:
หากสำนวนคดียังอยู่ในระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวน ผู้ร้องจะต้องยื่นคำร้องต่อพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี. ผู้ที่มีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้คืนของกลางชั่วคราวในขั้นนี้คือหัวหน้าสถานีตำรวจหรือผู้กำกับการ. -
ชั้นพนักงานอัยการ:
เมื่อสำนวนการสอบสวนถูกส่งไปยังพนักงานอัยการ ผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องขอคืนของกลางต่อพนักงานอัยการได้. -
ชั้นศาล:
หากคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว ผู้ร้องจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอรับของกลางไปดูแลรักษาชั่วคราว.
ในทุกขั้นตอน การยื่นคำร้องจะต้องระบุเหตุผลความจำเป็นและความเร่งด่วนในการนำของกลางไปใช้, ระยะเวลาที่ต้องการ, ผู้ที่จะดูแลรักษา, และสถานที่เก็บรักษาอย่างชัดเจน.
3.3 การวางหลักประกันและการทำสัญญา
การอนุญาตให้คืนของกลางชั่วคราวไม่ได้เป็นไปโดยไม่มีเงื่อนไข. ผู้ร้องจะต้องทำสัญญาและวางหลักประกันเพื่อเป็นประกันว่าทรัพย์สินจะไม่เกิดความเสียหาย สูญหาย หรือถูกนำไปใช้กระทำความผิดอีก.
หลักประกันที่สามารถใช้ได้ ได้แก่ เงินสด, โฉนดที่ดิน, หรือหลักทรัพย์ประเภทอื่นตามที่กำหนด. สัญญาประกันจะระบุข้อตกลงว่าผู้ร้องจะส่งคืนทรัพย์สินเมื่อพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานสั่งให้ส่งคืนเพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนหรือพิจารณาคดี.
กระบวนการขอคืนของกลางชั่วคราวนี้เป็นการถ่ายโอนภาระความรับผิดชอบและความเสี่ยงในการดูแลรักษาทรัพย์สินจากรัฐมาสู่เจ้าของ. เจ้าของมีหน้าที่ต้องดูแลทรัพย์สินให้คงสภาพเดิม ไม่ให้เกิดการสูญหาย เสียหาย ชำรุดบกพร่อง ถูกทำลาย หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง. หากผู้ร้องผิดสัญญาหรือทรัพย์สินเสียหาย หลักประกันที่วางไว้ก็อาจถูกริบได้.
บทบาทและหน้าที่ของทนายความในกระบวนการขอคืนของกลาง
การขอคืนของกลางเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนทางกฎหมายและเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ด้วยเหตุนี้ บทบาทของทนายความจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกขั้นตอน:
4.1 บทบาทเชิงกลยุทธ์และการให้คำปรึกษา
ทนายความมีหน้าที่ประเมินสถานการณ์ทางกฎหมายของลูกความอย่างถี่ถ้วน. การวิเคราะห์ในขั้นแรกคือการตรวจสอบประเภทของกลางว่าสามารถขอคืนได้หรือไม่ (เช่น ไม่ใช่ของที่มีไว้เป็นความผิด) และพิจารณาว่าทรัพย์สินนั้นถูกริบโดยกฎหมายอาญาหรือกฎหมายเฉพาะ. นอกจากนี้ ทนายความต้องตรวจสอบสถานะของลูกความว่าเป็น "บุคคลภายนอก" ผู้สุจริตหรือไม่ เนื่องจากสิทธิในการขอคืนตามมาตรา 36 นั้นสงวนไว้สำหรับบุคคลภายนอกเท่านั้น. หากลูกความเป็นจำเลยในคดี ทนายความต้องให้คำแนะนำให้ต่อสู้ในชั้นพิจารณาคดีหลักเพื่อขอให้ศาลไม่สั่งริบทรัพย์สิน. การให้คำปรึกษาที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นจะช่วยป้องกันการเลือกช่องทางทางกฎหมายที่ผิดพลาดซึ่งอาจทำให้เสียสิทธิในการขอคืนไปโดยสิ้นเชิง.
4.2 บทบาทเชิงธุรการและเอกสาร
ทนายความเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดเตรียมคำร้องขอคืนของกลางและเอกสารประกอบต่างๆ ให้ถูกต้องและครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด. ซึ่งรวมถึงการรวบรวมเอกสารสิทธิ์ในทรัพย์สิน, หลักฐานการได้มาซึ่งทรัพย์สิน, และหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนคำร้อง. การเตรียมเอกสารที่ไม่สมบูรณ์อาจทำให้คำร้องไม่ได้รับการพิจารณาหรือต้องล่าช้าออกไป.
4.3 บทบาทในการนำสืบพยานหลักฐานในชั้นไต่สวน
เมื่อศาลนัดไต่สวนคำร้อง ทนายความจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของลูกความในการนำเสนอข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่อศาล. ทนายความมีหน้าที่นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความเป็นเจ้าของที่แท้จริงของลูกความ และที่สำคัญยิ่งคือการพิสูจน์ว่าลูกความมิได้รู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดของจำเลย. การซักถามพยานที่เกี่ยวข้องและการนำเสนอข้อต่อสู้ทางกฎหมายที่หนักแน่น ถือเป็นภารกิจหลักของทนายความในขั้นตอนนี้.
4.4 การเป็นตัวแทนและอำนวยความสะดวกในทางปฏิบัติ
ทนายความยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ, พนักงานอัยการ, และศาล เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น. ในกรณีของการขอคืนของกลางชั่วคราว ทนายความจะเป็นผู้เข้าทำสัญญาประกันและรับมอบของกลางแทนลูกความ. การมีทนายความตั้งแต่เริ่มแรกจึงเป็นการเพิ่มโอกาสสำเร็จในการขอคืนของกลาง เนื่องจากทนายความสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องและจัดการขั้นตอนทางกฎหมายที่ยุ่งยากแทนลูกความได้.
บทสรุปและข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ
การขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อน ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ประเภทของของกลาง, กฎหมายที่ใช้ในการริบทรัพย์, และช่วงเวลาที่คดีอยู่ในกระบวนการ. การวิเคราะห์พบว่า ทรัพย์สินที่ "เป็นความผิดในตัว" ไม่สามารถขอคืนได้, ในขณะที่ทรัพย์สินที่ "ใช้ในการกระทำความผิด" หรือ "ได้มาโดยการกระทำความผิด" สามารถขอคืนได้หากผู้เป็นเจ้าของเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต. การขอคืนสามารถทำได้ทั้งในลักษณะ "ชั่วคราว" ก่อนคดีถึงที่สุด หรือ "ถาวร" หลังคำพิพากษาถึงที่สุด โดยแต่ละช่องทางมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.
จากรายงานฉบับนี้ สามารถสรุปข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องการขอคืนของกลางได้ดังนี้:
-
ตรวจสอบสถานะของของกลางและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ขั้นตอนแรกคือการทำความเข้าใจว่าทรัพย์สินของท่านเป็นของกลางประเภทใด และถูกยึดหรือถูกริบตามกฎหมายฉบับใด. หากเป็นทรัพย์สินที่กฎหมายระบุว่ามีไว้เป็นความผิดโดยเนื้อแท้ โอกาสในการขอคืนจะไม่มีเลย.
-
ประเมินสถานะของตนเอง: พิจารณาว่าท่านมีสถานะเป็น "เจ้าของที่แท้จริง" หรือเป็น "ผู้มีสิทธิอื่นใดตามกฎหมาย" หรือไม่. ที่สำคัญที่สุดคือต้องสามารถแสดงให้ศาลเห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการกระทำความผิดนั้น.
-
เลือกช่องทางและช่วงเวลาที่เหมาะสม: หากคดียังไม่ถึงที่สุดและท่านต้องการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น ควรพิจารณาการยื่นคำร้องขอคืนชั่วคราวโดยการวางหลักประกัน. แต่หากคดีถึงที่สุดและศาลมีคำสั่งให้ริบทรัพย์แล้ว จะต้องยื่นคำร้องภายในกำหนดเวลา 1 ปีตามมาตรา 36.
-
รวบรวมและจัดเตรียมพยานหลักฐาน: จัดเตรียมเอกสารสิทธิ์ในทรัพย์สินและพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ในการไต่สวนของศาล.
-
ขอคำปรึกษาจากทนายความ: ด้วยความซับซ้อนของกฎหมายและแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่อาจเป็นกับดักทางกฎหมายที่สำคัญ การขอคำปรึกษาจากทนายความผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มโอกาสสำเร็จและปกป้องสิทธิในทรัพย์สินของท่าน.