แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คดีอาญา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คดีอาญา แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา


ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา



​รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ผู้บริหารฝ่ายกฎหมาย/ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินของสถาบันการเงิน โดยเน้นการแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรับผิดทางแพ่งและความผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อรถยนต์ผิดนัดและไม่ยอมคืนรถยนต์ที่ถูกบอกเลิกสัญญา การวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ. มาตรา 352) และแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่สำคัญ

​I. หลักการพื้นฐานและสถานะทางกฎหมายของการเช่าซื้อรถยนต์

​๑.๑ คำนิยามและสาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ

​สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 572 โดยมีสาระสำคัญคือ สัญญาเช่าที่เจ้าของทรัพย์สินให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว.

​สถานะทางกฎหมายของทรัพย์สินภายใต้สัญญาเช่าซื้อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณาความรับผิดทางอาญา การที่บริษัทไฟแนนซ์ (ผู้ให้เช่าซื้อ) นำรถยนต์ออกให้เช่าซื้อนั้น ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นตามมาตรา 572. ในระหว่างที่สัญญาเช่าซื้อยังคงมีผลใช้บังคับและผู้เช่าซื้อยังชำระเงินไม่ครบถ้วน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออย่างสมบูรณ์. ผู้เช่าซื้อจึงมีสถานะเป็นเพียงผู้ครอบครองทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมายตามเงื่อนไขของสัญญาเท่านั้น และมีอำนาจใช้สอยรถยนต์ดังกล่าว.

​๑.๒ การสิ้นสุดของสัญญาเช่าซื้อและการเกิดหน้าที่ต้องคืนทรัพย์

​การสิ้นสุดของสัญญาเช่าซื้อเกิดขึ้นได้หลายกรณี กรณีที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้เสียคือ การที่ผู้ให้เช่าซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเนื่องจากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ. ตามหลักกฎหมายแพ่ง ป.พ.พ. มาตรา 574 กำหนดให้เจ้าของทรัพย์สิน (ผู้ให้เช่าซื้อ) มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆ กัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ. อย่างไรก็ตาม ภายใต้ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561 ได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเชิงคุ้มครองผู้บริโภค โดยทั่วไป การที่ผู้ให้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาได้นั้น ผู้เช่าซื้อจะต้องผิดนัดไม่ชำระค่างวดติดต่อกันถึงสามงวด และผู้ให้เช่าซื้อต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดก่อน.

​เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้ออย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับสิ้นสุดลง. ผลทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดคือ ผู้เช่าซื้อจะสูญเสียสิทธิในการครอบครองรถยนต์ทันที และมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องส่งมอบรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทไฟแนนซ์คืนแก่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์.

​๑.๓ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ป.อ. มาตรา 352)

​ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เป็นความผิดทางอาญาต่อทรัพย์สิน มีองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้ :

  1. ทรัพย์สินของผู้อื่น: รถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งกรรมสิทธิ์ยังเป็นของไฟแนนซ์.
  2. อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด: ผู้เช่าซื้อครอบครองรถตามสัญญาเช่าซื้อโดยชอบ.

  1. เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม: การกระทำที่แสดงว่าผู้ครอบครองไม่ถือว่าทรัพย์นั้นเป็นของเจ้าของอีกต่อไป แต่เอาไปใช้ประโยชน์หรือตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอย่างชัดเจน.
  2. โดยทุจริต: เจตนาแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย.

​ข้อสังเกตทางกฎหมายอาญาคือ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์นี้เป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 356. ผลของการเป็นคดีอันยอมความได้คือ ผู้เสียหายจะต้องร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้คือสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 96 ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ต้องพิจารณาในการดำเนินคดีต่อไป.

​II. การวิเคราะห์สถานการณ์ที่ ๑: การไม่คืนรถหลังบอกเลิกสัญญา แต่ก่อนการฟ้องคดีแพ่ง



​๒.๑ ปัญหาหลัก: การไม่คืนรถตามคำบอกเลิกสัญญา ถือเป็นการ "เบียดบังโดยทุจริต" หรือไม่?

​ประเด็นที่ผู้ให้เช่าซื้อต้องการทราบคือ การที่ผู้เช่าซื้อปฏิเสธที่จะส่งมอบรถยนต์คืนแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ภายหลังการบอกเลิกสัญญาแล้ว จะสามารถถือได้ว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์โดยทุจริตอันเป็นความผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ การวิเคราะห์ในส่วนนี้เป็นจุดแบ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างความรับผิดทางแพ่งและความรับผิดทางอาญา

​ตามหลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกา การผิดนัดชำระหนี้และการไม่คืนทรัพย์ตามการทวงถาม ไม่ได้เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์โดยอัตโนมัติ หากจะมีความผิดทางอาญา ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าผู้เช่าซื้อมี "เจตนาทุจริต" ในการเบียดบังทรัพย์นั้นไว้เพื่อตนเองหรือบุคคลที่สามอย่างชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยพฤติการณ์ที่เกินกว่าการผิดสัญญาและเพิกเฉยต่อการส่งมอบคืน

​๒.๒ แนววินิจฉัย: เมื่อถือเป็นเพียง "การผิดสัญญาทางแพ่ง"

​โดยหลักการแล้ว การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระและถูกบอกเลิกสัญญาอย่างถูกต้องตามมาตรา 574 แล้ว แต่ยังคงเพิกเฉยหรือไม่นำรถมาคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อตามหน้าที่ที่เกิดขึ้นจากการสิ้นสุดของสัญญา หากไม่มีพฤติการณ์อื่นใดบ่งชี้ถึงการตัดกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อโดยเด็ดขาด ย่อมถือเป็นเพียงการ ผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น.

​ผลในทางแพ่งคือ ผู้เช่าซื้อมีความรับผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อตลอดเวลาที่ยังครอบครองทรัพย์พิพาทอยู่ (เช่น ค่าใช้ทรัพย์) และค่าขาดราคาที่เกิดขึ้นจากการที่ไฟแนนซ์ต้องนำรถออกขายทอดตลาดในราคาที่ลดลง.

​แนวคำพิพากษาศาลฎีกาได้วางหลักการนี้ไว้อย่างมั่นคง ดังเช่น:

  • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5547/2530: ศาลวินิจฉัยว่า การที่จำเลย (ผู้เช่าซื้อ) ผิดสัญญา ผู้เสียหายบอกเลิกสัญญาและให้ส่งรถคืน แต่จำเลยไม่ส่งคืนและพารถหลบหนีไป การกระทำนี้ยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการเบียดบังโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หากแต่เป็นเพียงการกระทำที่แสดงถึงการผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น.

  • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2550: ยืนยันหลักการเดียวกันว่า แม้จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบคืนทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงหลังการบอกเลิกสัญญา และแม้มีการทำบันทึกข้อตกลงที่สถานีตำรวจเรื่องการนัดหมายส่งมอบคืน การไม่ส่งมอบคืนตามข้อตกลงดังกล่าว ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการเบียดบังที่จะเอาทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริต กรณีจึงเป็นเพียงเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่มีมูลความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์.

​๒.๓ แนววินิจฉัย: เมื่อถือเป็น "ความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์"

​ความผิดอาญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เช่าซื้อได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการ เบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริตอย่างชัดเจน ซึ่งหมายถึงการกระทำที่แสดงถึงเจตนาตัดสิทธิและปฏิเสธกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อโดยเด็ดขาด.

​พฤติการณ์สำคัญที่ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าถือเป็นการเบียดบังโดยทุจริต ได้แก่:

  1. การนำทรัพย์ไปจำนำหรือขายต่อ: การที่ผู้เช่าซื้อนำรถที่เช่าซื้อไปจำนำ ถือเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ย่อมเป็นความผิดฐานยักยอก. ในทางเดียวกัน หากมีการนำไปขายโดยไม่มีเจตนาที่จะนำกลับมาคืนหรือชดใช้ราคาให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ ก็เข้าข่ายการเบียดบังเช่นกัน.

  1. การซ่อนเร้นหรืออ้างว่าสูญหายโดยทุจริต: หากผู้เช่าซื้อถูกทวงถามและแจ้งให้คืนรถ แต่กลับเพิกเฉยและอ้างว่ารถสูญหาย โดยเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังปกปิดและซุกซ่อนรถยนต์โดยมีเจตนาที่จะไม่ส่งมอบคืนแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการเบียดบังโดยทุจริตและเป็นความผิดฐานยักยอก.(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4781/2555)

​อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับเจตนาทุจริตในกรณีการจำนำ ศาลฎีกาเคยมีแนววินิจฉัยว่า หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การนำทรัพย์ที่เช่าซื้อไปจำนำหรือวางไว้เป็นประกันหนี้เป็นเพียงชั่วคราว โดยผู้เช่าซื้อมีเจตนาที่จะไถ่ถอนทรัพย์สินนั้นคืนภายหลัง การกระทำนี้ยังไม่ถือเป็นการเบียดบังทรัพย์สินในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอย่างเด็ดขาด จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก. แต่หากไม่มีเจตนาหรือไม่สามารถไถ่ถอนคืนได้เลย ย่อมเป็นยักยอก.

​๒.๔ ข้อควรระวังเชิงกลยุทธ์: ความเสี่ยงด้านอายุความร้องทุกข์ ๓ เดือน

​ความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นความผิดอันยอมความได้ และมีอายุความร้องทุกข์ที่สั้นมากคือ สามเดือน นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 96.

​ในทางปฏิบัติ การที่บริษัทไฟแนนซ์ทราบว่าผู้เช่าซื้อผิดนัดและบอกเลิกสัญญา มักจะเริ่มจากการดำเนินคดีทางแพ่งก่อน ซึ่งกระบวนการทางแพ่งใช้เวลานาน แต่หากผู้ให้เช่าซื้อทราบถึงพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการเบียดบังโดยทุจริตอย่างชัดเจน (เช่น ทราบว่ารถถูกนำไปจำนำแล้ว) สิทธิในการฟ้องร้องคดีอาญาจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ทราบการกระทำนั้น. หากไฟแนนซ์เลือกที่จะรอผลการฟ้องคดีแพ่ง หรือรอการสืบหาทรัพย์สินจนล่วงเลยกำหนด 3 เดือนนับจากวันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะระงับไปทันทีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6).

​ดังนั้น การดำเนินคดีทางอาญาฐานยักยอกจึงไม่สามารถทำตามหลังการดำเนินคดีทางแพ่งได้โดยอัตโนมัติ แต่ต้องวางแผนการดำเนินการแบบ คู่ขนาน โดยเน้นการสืบหาพยานหลักฐานการเบียดบังโดยทุจริต และรีบดำเนินการร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน เพื่อให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่หมดอายุความ

III. การวิเคราะห์สถานการณ์ที่ ๒: การไม่คืนรถหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้คืนรถ



​๓.๑ สถานะทางกฎหมายภายหลังคำพิพากษาคดีแพ่ง

​เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องให้ผู้เช่าซื้อคืนรถยนต์ และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เช่าซื้อ (จำเลย) ต้องส่งมอบรถยนต์คืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อ (โจทก์) สถานะทางกฎหมายของผู้เช่าซื้อจะเปลี่ยนไป การที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วเป็นการยืนยันสิทธิในทรัพย์สินของผู้ให้เช่าซื้ออย่างเป็นทางการ และผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ในฐานะ ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล.

​๓.๒ กลไกการบังคับคดีทางแพ่ง

​หากลูกหนี้ตามคำพิพากษายังคงไม่ยอมส่งมอบรถยนต์คืน การดำเนินการทางกฎหมายจะเข้าสู่กระบวนการ บังคับคดีทางแพ่ง โดยเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดี และตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าดำเนินการ.

​ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.แพ่ง) หมวด 3 ว่าด้วยการบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง (มาตรา 346 - 349) เป็นกลไกหลักที่ใช้ในการนี้. เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจดำเนินการเพื่อให้มีการส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นคืนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา. หากไม่สามารถบังคับเอาตัวทรัพย์สินคืนได้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็สามารถขอให้ศาลมีคำสั่งให้ลูกหนี้ชำระราคาของทรัพย์สินแทน.

​๓.๓ การไม่คืนรถตามคำพิพากษา ถือเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกหรือไม่

​โดยหลักการแล้ว การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งที่ให้คืนรถยนต์ ไม่ได้เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์โดยตรง

​เหตุผลคือ องค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานยักยอกทรัพย์คือการ "เบียดบังโดยทุจริต". การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลไกและมาตรการบังคับคดีทางแพ่งตาม ป.วิ.แพ่ง. การขัดขืนคำสั่งศาลให้คืนทรัพย์ในคดีแพ่งแม้จะผิดกฎหมาย แต่เป็นความผิดที่มุ่งหมายจะแก้ไขเยียวยาด้วยมาตรการทางแพ่ง (การบังคับให้คืนทรัพย์หรือชดใช้ราคา) และไม่ได้เพิ่มพฤติการณ์ที่แสดงถึงเจตนาทุจริตในการตัดกรรมสิทธิ์ที่จำเป็นสำหรับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 352. หากศาลถือว่าการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาแพ่งเป็นความผิดอาญาโดยอัตโนมัติ จะเป็นการสร้างภาระเกินควรต่อระบบกฎหมายอาญาและลดความสำคัญของการบังคับคดีทางแพ่ง

​ดังนั้น การดำเนินคดีในสถานการณ์นี้จึงยังคงเป็นเรื่องของการบังคับคดีตามคำพิพากษาในทางแพ่งเป็นหลัก เว้นแต่มีการกระทำอันเป็นพฤติการณ์ใหม่ที่แสดงเจตนาทุจริต เช่น หลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยกลับนำรถไปขายหรือทำลายทรัพย์สินนั้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจนำมาพิจารณาเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ได้อีกครั้ง เนื่องจากเป็นการกระทำที่ทำให้การบังคับคดีแพ่งในทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยมีเจตนาทุจริต.

​IV. สรุปข้อพิจารณาทางกฎหมายและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ให้เช่าซื้อ

​๔.๑ ข้อสรุปความแตกต่างของเจตนาทางกฎหมาย

​การตัดสินใจดำเนินคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่ง (การไม่คืนรถ) และการเบียดบังโดยทุจริตทางอาญา (การกระทำที่ปฏิเสธกรรมสิทธิ์ของเจ้าของโดยสิ้นเชิง)


๔.๒ กลยุทธ์ในการดำเนินคดีแบบบูรณาการ

​เนื่องจากความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นความผิดอันยอมความได้ และมีอายุความร้องทุกข์เพียงสามเดือน  หากบริษัทไฟแนนซ์ทราบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการเบียดบังโดยทุจริต การรอผลการฟ้องร้องคดีแพ่งที่ใช้เวลานานจะทำให้สิทธิทางอาญาหมดอายุความไปโดยปริยาย

​ความเข้าใจในข้อจำกัดนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ให้เช่าซื้อไม่สามารถพึ่งพิงการบอกเลิกสัญญาหรือการฟ้องแพ่งเพียงอย่างเดียวเพื่อสร้างความผิดอาญา การดำเนินคดีที่เหมาะสมที่สุดคือการดำเนินการในลักษณะ คู่ขนานและบูรณาการ หากมีข้อสงสัยว่ามีการเบียดบังโดยทุจริตเกิดขึ้น (เช่น มีการนำรถไปจำนำหรือขายต่อ) ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องดำเนินการในทันทีเพื่อ:

  1. เร่งรัดการสืบหาพยานหลักฐานทุจริต: ทันทีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดถึงขั้นสามารถบอกเลิกสัญญาได้ ควรมีการสืบหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต" และการกระทำที่แสดงถึงการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของ (Active Misappropriation) เช่น หลักฐานการนำรถไปจำนำ หรือการซ่อนเร้นรถยนต์.
  2. การนับอายุความที่เข้มงวด: วันที่ผู้ให้เช่าซื้อทราบว่ารถถูกเบียดบังไปจำนำหรือขาย ถือเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความ 3 เดือนตาม ป.อ. มาตรา 96. ไฟแนนซ์ต้องยื่นคำร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือนนี้ เพื่อรักษาสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไว้ ซึ่งหากล่วงเลยกำหนด สิทธิดังกล่าวจะระงับไปทันที.


​๔.๓ ข้อเสนอแนะในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต"

​การฟ้องร้องคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์จะประสบความสำเร็จได้ต่อเมื่อมีการพิสูจน์เจตนาทุจริตที่ชัดเจนและเหนือกว่าการผิดนัดชำระหนี้ทางแพ่ง พยานหลักฐานที่สำคัญ ได้แก่:

  • หลักฐานการกระทำที่ชัดเจน: ต้องมีหลักฐานยืนยันว่าผู้เช่าซื้อได้ดำเนินการ "จำหน่าย จ่าย โอน" หรือ "ซ่อนเร้น" ทรัพย์สินนั้น.
  • การแยกแยะการแจ้งความ: หากมีการแจ้งความดำเนินคดีอาญา ต้องบรรยายฟ้องหรือให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนอย่างสมบูรณ์ มิใช่เพียงแต่ระบุถึงการผิดนัดไม่คืนรถตามสัญญา. การที่ผู้ให้เช่าซื้อเลือกที่จะทำบันทึกตกลงเรื่องค่าเสียหายทางแพ่งที่สถานีตำรวจโดยไม่มีพฤติการณ์เบียดบังชัดเจน อาจถูกตีความว่าเป็นการดำเนินการทางแพ่ง และทำให้คดีอาญาไม่มีมูลได้.


​V. บทสรุปทางกฎหมาย

​โดยสรุป การที่ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อเกิน 3 งวดติดต่อกัน และถูกผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาแล้ว หากผู้เช่าซื้อไม่คืนรถ และผู้ให้เช่าซื้อเลือกที่จะแจ้งความดำเนินคดีอาญาโดยที่ยังไม่มีการฟ้องคดีแพ่งต่อศาล ผู้เช่าซื้อจะมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 352 ได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์ที่แสดงถึง เจตนาทุจริตในการเบียดบังทรัพย์สิน อย่างชัดเจน เช่น การนำรถไปจำนำ ขาย หรือซ่อนเร้นอย่างถาวร. หากเป็นเพียงการเพิกเฉย ไม่คืนรถตามคำบอกเลิกสัญญา ถือเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5547/2530 และ 416/2550.

​ส่วนกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องคดีแพ่งจนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เช่าซื้อคืนรถ แต่จำเลยยังคงไม่คืนรถยนต์นั้น การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวโดยตัวของมันเอง ไม่ถือว่าเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์. การแก้ไขปัญหาการไม่คืนรถหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด จะต้องดำเนินการโดยใช้มาตรการ บังคับคดีทางแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 346–349 เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเข้ายึดทรัพย์ หรือขอให้ศาลสั่งให้ชดใช้ราคาทรัพย์สินแทน. การดำเนินการทางอาญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์ทุจริตใหม่เกิดขึ้นหลังคำพิพากษา หรือผู้ให้เช่าซื้อได้ทำการร้องทุกข์ภายในอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่รู้ถึงการเบียดบังโดยทุจริตแต่แรก.

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend




วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2568

​กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและสิทธิในคดีอาญา

 

​กระบวนการยุติธรรมทางอาญาและสิทธิในคดีอาญา



​1. บทนำ: หลักการและประเภทของคดีอาญา

​กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและมีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน ตั้งแต่การเริ่มต้นคดีไปจนถึงการพิพากษาและมาตรการภายหลังการตัดสิน โดยมีเป้าหมายหลักในการค้นหาความจริงและนำผู้กระทำความผิดมารับโทษตามกฎหมายที่บัญญัติไว้ รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอภาพรวมเชิงลึกของกระบวนการดังกล่าว โดยแบ่งตามขั้นตอนที่สำคัญ พร้อมทั้งวิเคราะห์บทบาทและสิทธิของบุคคลที่เกี่ยวข้องในแต่ละช่วงเวลาอย่างละเอียด ตั้งแต่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และทนายความ

​1.1 ความหมายและขอบเขตของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

​กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น โดยเริ่มจากขั้นตอนแรกสุดคือการร้องทุกข์กล่าวโทษ หรือการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสืบสวนคดีอาญาด้วยตนเอง หลังจากนั้นจะเข้าสู่ชั้นสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องคดีต่อศาล จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ ก่อนที่จะมีคำพิพากษาตัดสินและเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายคือการบังคับโทษ  กระบวนการทั้งหมดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นไปอย่างรอบด้านและคำนึงถึงสิทธิของทุกฝ่าย

​1.2 การแบ่งประเภทคดีอาญา: ความผิดต่อแผ่นดินและคดีความผิดต่อส่วนตัว

​ระบบกฎหมายอาญาของไทยมีความโดดเด่นในการแบ่งประเภทความผิดออกเป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการทางกฎหมายโดยสิ้นเชิง ความเข้าใจในความแตกต่างนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินคดีอาญาในประเทศไทย

ความผิดอาญาแผ่นดิน (Public Offenses)

ความผิดอาญาแผ่นดินคือการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและส่วนรวมอย่างรุนแรง นอกเหนือจากความเสียหายที่เกิดกับตัวผู้ถูกกระทำโดยตรง  ด้วยเหตุนี้ การดำเนินคดีอาญาแผ่นดินจึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป แม้ว่าผู้เสียหายจะไม่ติดใจเอาความหรือถอนคำร้องทุกข์ไปแล้วก็ตาม กล่าวคือ เป็นความผิดที่ "ยอมความไม่ได้" โดยเด็ดขาด  ตัวอย่างของความผิดประเภทนี้ ได้แก่ คดีร้ายแรง เช่น ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ฆ่าคนตาย หรือการประทุษร้ายต่อพระมหากษัตริย์

ความผิดต่อส่วนตัว (Private Offenses)

ในทางตรงกันข้าม ความผิดต่อส่วนตัวคือการกระทำที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิส่วนบุคคลของผู้ถูกกระทำเพียงเท่านั้น  การดำเนินคดีในความผิดประเภทนี้จึงขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้เสียหายเป็นสำคัญ หากผู้เสียหายไม่ต้องการดำเนินคดีหรือประสงค์จะยุติเรื่อง ความเป็นไปได้ที่รัฐจะดำเนินคดีต่อก็เป็นไปไม่ได้  กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการ "ร้องทุกข์" จากผู้เสียหายก่อน พนักงานสอบสวนจึงจะมีอำนาจในการเริ่มการสืบสวนได้  ยิ่งไปกว่านั้น หากทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาตกลงยอมความกันได้ หรือมีการถอนฟ้อง/ถอนคำร้องทุกข์ สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องจะระงับไป และจะไม่สามารถนำเรื่องดังกล่าวมาฟ้องร้องได้อีก

​การที่ระบบยุติธรรมของไทยดำเนินการบนสองแนวทางที่แตกต่างกันนี้ แสดงให้เห็นถึงหลักการสำคัญที่ว่า ความร้ายแรงของอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม รัฐจะเข้ามาทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมแทนประชาชนโดยอัตโนมัติ ในขณะที่ความผิดซึ่งมีผลกระทบในวงจำกัดต่อบุคคล สิทธิในการตัดสินใจว่าจะดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่นั้นเป็นของปัจเจกบุคคลผู้เสียหาย ซึ่งถือเป็นกลไกที่สร้างความยืดหยุ่นในระบบกฎหมาย

​2. ขั้นตอนก่อนการพิจารณาคดี: ชั้นสอบสวน

​การสอบสวนเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญยิ่งในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เนื่องจากเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ และมีผลโดยตรงต่อการสั่งคดีในชั้นอัยการและการพิจารณาของศาล

​2.1 การเริ่มต้นคดี: การร้องทุกข์และการกล่าวโทษ

​คดีอาญาจะเริ่มต้นขึ้นได้เมื่อมีผู้ร้องทุกข์ กล่าวโทษ หรือเมื่อเจ้าพนักงานทราบเรื่องการกระทำความผิดด้วยตนเอง  คำว่า "ผู้เสียหาย" ในทางกฎหมายหมายถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อแสดงเจตนาว่าต้องการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิด  ในความผิดต่อส่วนตัว การร้องทุกข์ถือเป็นเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ และต้องกระทำภายใน 3 เดือนนับจากวันที่ผู้เสียหายรู้ถึงความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด มิฉะนั้นสิทธิในการฟ้องคดีจะหมดอายุความ

​2.2 บทบาทและอำนาจของพนักงานสอบสวน

​พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดี โดยมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้กำหนดข้อจำกัดไว้ว่าต้องเป็นพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจและเขตอำนาจตามกฎหมายเท่านั้น  หากการสอบสวนใดดำเนินการโดยผู้ไม่มีอำนาจ หรือนอกเขตอำนาจ การสอบสวนนั้นจะถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งหมด  ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการดำเนินคดีในภายหลัง

​2.3 สิทธิของผู้เสียหายในชั้นสอบสวน

​นอกจากการร้องทุกข์ซึ่งถือเป็นสิทธิสำคัญแล้ว  ผู้เสียหายยังมีสิทธิหลายประการในชั้นสอบสวน เพื่อให้การอำนวยความยุติธรรมเป็นไปอย่างครบถ้วน สิทธิเหล่านี้รวมถึงการยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการเมื่อคดีขึ้นสู่ศาล หรือฟ้องคดีอาญาด้วยตนเองได้ในบางกรณี  นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังมีสิทธิที่จะได้รับค่าตอบแทนและเงินช่วยเหลือจากรัฐสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น  การขอรับค่าตอบแทนนี้จะต้องยื่นคำขอภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงการกระทำความผิด โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตาม

เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย กฎหมายยังได้มอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้เสียหายที่เป็นเด็กและผู้หญิง เช่น การให้ปากคำในสถานที่ที่เหมาะสมร่วมกับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง หรือในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ผู้เสียหายหญิงมีสิทธิได้รับการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนที่เป็นหญิง  สิทธิเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบทางจิตใจและป้องกันการถูกกระทำซ้ำในกระบวนการยุติธรรม

​2.4 สิทธิของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน

​บุคคลผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด แต่ยังไม่ถูกฟ้องต่อศาลจะถูกเรียกว่า "ผู้ต้องหา"  ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหามีสิทธิพื้นฐานที่สำคัญหลายประการเพื่อคุ้มครองตนเอง และเพื่อให้การสอบสวนเป็นไปอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส โดยเจ้าพนักงานมีหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิเหล่านี้ให้ผู้ต้องหาทราบในโอกาสแรก  สิทธิที่สำคัญได้แก่:

  • ​สิทธิที่จะได้รับการแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบว่าตนถูกกล่าวหาว่าทำความผิดในข้อหาใด

  • ​สิทธิในการมีและปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะตัว รวมถึงให้ทนายความหรือบุคคลที่ไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำได้

  • ​สิทธิที่จะไม่ให้การใด ๆ ในชั้นสอบสวน เว้นแต่จะสมัครใจ  เจ้าพนักงานจะทำการข่มขู่ หลอกลวง หรือใช้กำลังบังคับ เพื่อจูงใจให้ผู้ต้องหาให้การอย่างใดๆ ไม่ได้โดยเด็ดขาด

  • ​สิทธิที่จะได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้อย่างสมควร และได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วหากเจ็บป่วย

  • ​สิทธิที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) ในระหว่างการสอบสวน

​2.5 บทบาทของทนายความในชั้นสอบสวน

​ทนายความมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวน เนื่องจากเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมายและสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยและผู้ควบคุมการดำเนินงานของเจ้าพนักงานได้  ทนายความจะช่วยกลั่นกรองข้อเท็จจริง ลำดับเหตุการณ์ และรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อเป็นประโยชน์ต่อคดี  การมีทนายความตั้งแต่ในชั้นนี้จึงมีผลโดยตรงต่อรูปคดีทั้งหมด ทำให้ผู้ต้องหามีโอกาสในการต่อสู้คดีและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้อย่างเต็มที่ และเป็นการสร้างหลักประกันให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม

​3. ขั้นตอนการฟ้องคดีและไต่สวนมูลฟ้อง

​หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการสอบสวนแล้ว คดีจะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาว่าจะมีการฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

​3.1 การดำเนินคดีอาญาโดยพนักงานอัยการ

​พนักงานอัยการคือ "ทนายความของแผ่นดิน" ผู้ทำหน้าที่รักษาความยุติธรรมและดำเนินคดีอาญาแทนรัฐ  หลังจากได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว อัยการจะพิจารณาพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในสำนวนเพื่อสรุปความเห็นและมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น สั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง  หากอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในคดีอาญาแผ่นดิน แม้ผู้เสียหายจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่มีสิทธิในการฟ้องคดีได้เอง หากเป็นคดีอาญาแผ่นดินและไม่ได้มีการร้องทุกข์จากผู้เสียหาย

​3.2 การดำเนินคดีอาญาโดยผู้เสียหาย: การฟ้องคดีอาญาเอง

​แม้ว่าโดยหลักแล้วการดำเนินคดีอาญาจะเป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการ แต่ผู้เสียหายก็ยังมีสิทธิที่จะฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้ด้วยตนเองโดยตรง โดยเฉพาะในคดีอาญาแผ่นดินที่มีผู้เสียหายและคดีความผิดต่อส่วนตัว  สิทธินี้เป็นกลไกที่สำคัญที่ช่วยให้ผู้เสียหายสามารถเข้ามามีบทบาทในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าพนักงานอัยการจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีไปแล้วก็ตาม

ในการฟ้องคดีด้วยตนเอง ผู้เสียหายจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนสำคัญหลายประการ เริ่มตั้งแต่การรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่ามีหลักฐานที่เพียงพอและชัดเจนว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง  การดำเนินการโดยปราศจากพยานหลักฐานที่เพียงพออาจทำให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายและเสียค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์  ดังนั้น ผู้เสียหายจึงมักปรึกษาทนายความเพื่อช่วยตรวจสอบและเรียบเรียงข้อเท็จจริงให้สมบูรณ์ก่อนยื่นฟ้อง

​3.3 การไต่สวนมูลฟ้อง

​การไต่สวนมูลฟ้องคือขั้นตอนที่ศาลจะพิจารณาว่าคดีที่ถูกฟ้องมี "มูล" หรือมีเหตุผลเพียงพอที่จะดำเนินคดีต่อไปได้หรือไม่  กระบวนการนี้จะแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคดีที่อัยการเป็นโจทก์และคดีที่ราษฎร (ผู้เสียหาย) เป็นโจทก์

  • คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์: ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนเสมอไป  จำเลยต้องมาศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง และศาลจะอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง

  • คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์: ศาลต้องทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อนเสมอ  การไต่สวนสามารถกระทำได้ลับหลังจำเลย โดยจำเลยไม่มีสิทธินำพยานของตนมาสืบในขั้นนี้ แต่สามารถตั้งทนายความเพื่อมาซักค้านพยานโจทก์ได้  นอกจากนี้ ในขั้นตอนนี้ก่อนที่ศาลจะประทับฟ้อง กฎหมายถือว่าผู้ถูกฟ้องยังไม่ตกอยู่ในฐานะ "จำเลย"

​3.4 สิทธิของจำเลยในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง

​แม้จะยังไม่ได้อยู่ในฐานะจำเลยโดยสมบูรณ์ แต่ผู้ถูกฟ้องในคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ก็ยังมีสิทธิบางประการในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง เช่น สิทธิที่จะมีทนายความเพื่อมาช่วยเหลือในการซักค้านพยานโจทก์  และแม้ว่าจำเลยจะไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบในขั้นตอนนี้ แต่ทนายความของจำเลยสามารถใช้เอกสารเพื่อประกอบการซักค้านพยานโจทก์ได้  อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกฟ้องไม่มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลที่ว่าคดีมีมูลได้ เพราะคำสั่งดังกล่าวถือเป็นที่สุด

​4. ขั้นตอนการพิจารณาคดีในศาล

​เมื่อคดีถูกประทับฟ้องแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาคดีในศาล ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเลยจะได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่

​4.1 หลักการพิจารณาคดี: การไต่สวนและสืบพยาน

​การพิจารณาคดีในศาลโดยหลักการแล้วจะต้องทำโดยเปิดเผยและต่อหน้าจำเลย  ในการพิจารณาคดี ศาลจะอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง และถามว่าได้กระทำความผิดจริงหรือไม่  โดยจำเลยมีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้  ในการสืบพยานโดยเฉพาะในคดีที่เกี่ยวข้องกับพยานที่มีความเปราะบาง เช่น เด็ก ศาลอาจอนุญาตให้ดำเนินการโดยไม่ให้พยานเผชิญหน้าโดยตรงกับจำเลยได้ โดยอาจใช้โทรทัศน์วงจรปิดหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เพื่อป้องกันผลกระทบทางจิตใจ

​4.2 สิทธิของจำเลยในชั้นพิจารณา

​ผู้ที่ถูกฟ้องต่อศาลอย่างเป็นทางการและศาลรับฟ้องแล้วจะถูกเรียกว่า "จำเลย"  ซึ่งมีสิทธิที่สำคัญในการต่อสู้คดี ดังต่อไปนี้ :

  • ​สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม

  • ​สิทธิที่จะแต่งทนายความเพื่อแก้ต่างในทุกชั้นศาล และปรึกษากับทนายความเป็นส่วนตัวได้  ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกิน 18 ปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ศาลมีหน้าที่ต้องตั้งทนายความให้จำเลยโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

  • ​สิทธิที่จะขอตรวจดูสำนวนและพยานหลักฐานของศาลได้

  • ​สิทธิที่จะได้รับการอ่านและอธิบายฟ้องจากศาลให้ฟัง

  • ​สิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาล

​4.3 การเข้าเป็นโจทก์ร่วม: สิทธิและประโยชน์ของผู้เสียหาย

​ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ผู้เสียหายสามารถยื่นคำร้องขอเข้าเป็น "โจทก์ร่วม" กับพนักงานอัยการได้ โดยต้องกระทำก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา  การเป็นโจทก์ร่วมมีข้อดีอย่างยิ่งสำหรับผู้เสียหาย เพราะจะได้รับสิทธิในฐานะคู่ความในคดีอย่างเต็มที่ เช่น สิทธิในการติดตามสำนวนผ่านระบบออนไลน์ของศาล  สิทธิในการนำพยานบุคคลหรือพยานเอกสารมาสืบเพิ่มเติมจากที่อัยการนำเสนอ  สิทธิในการถามพยานของพนักงานอัยการเพิ่มเติม  และสิทธิในการยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษา  การเข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงเป็นกลไกที่ช่วยเสริมสร้างพลังให้กับผู้เสียหายในคดีที่รัฐเป็นผู้ดำเนินคดีหลัก

​4.4 การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญา

​นอกเหนือจากการดำเนินคดีอาญาเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดแล้ว กฎหมายยังเปิดช่องทางให้ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ในคดีอาญาเลย ซึ่งเรียกว่าการยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1  การยื่นคำร้องนี้ต้องเป็นคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์  และผู้เสียหายต้องแสดงรายละเอียดความเสียหายที่เกิดขึ้นและจำนวนเงินที่เรียกร้อง  ซึ่งค่าสินไหมทดแทนที่เรียกได้ไม่ได้จำกัดเฉพาะความเสียหายที่เป็นตัวเงิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าขาดรายได้ แต่ยังรวมถึงความเสียหายทางจิตใจ หรือความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติยศด้วย

​5. การคุ้มครองและสิทธิพิเศษสำหรับเด็กและเยาวชน

​ระบบยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนของไทยมีหลักการที่แตกต่างจากระบบปกติอย่างสิ้นเชิง โดยมีเป้าหมายหลักในการแก้ไขและฟื้นฟู มากกว่าการลงโทษอย่างรุนแรง  หลักการนี้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี โดยคำนึงถึง "ผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก" เป็นสำคัญ

​5.1 หลักการพิจารณาคดีเยาวชนและข้อยกเว้นทางกฎหมาย

​กฎหมายได้กำหนดมาตรการทางอาญาสำหรับเด็กและเยาวชนโดยคำนึงถึงอายุเป็นหลัก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่าพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจของเด็กยังไม่สมบูรณ์ :

  • อายุไม่เกิน 12 ปี: หากกระทำความผิด กฎหมาย "ยกเว้นโทษ" ให้โดยเด็ดขาด  อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีโทษทางอาญา แต่ตำรวจยังมีหน้าที่รับแจ้งความและสอบสวนตามปกติ  หลังจากนั้นจะต้องส่งตัวเด็กให้เจ้าหน้าที่คุ้มครองเด็กเพื่อเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองสวัสดิภาพต่อไป

  • อายุ 12-15 ปี: ยังคงได้รับการ "ยกเว้นโทษ" แต่ศาลมีอำนาจสั่งมาตรการพิเศษ เช่น ว่ากล่าวตักเตือน หรือส่งไปสถานฝึกอบรม

  • อายุ 15-18 ปี: ศาลอาจตัดสินลงโทษหรือไม่ก็ได้ ถ้าลงโทษจะให้ลงโทษเพียงกึ่งหนึ่งของอัตราโทษปกติ

  • อายุ 18-20 ปี: ต้องรับโทษตามกฎหมาย แต่ศาลอาจลดโทษให้หนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่ง

​แม้ว่ากฎหมายจะยกเว้นโทษทางอาญาในบางกรณี แต่หากการกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ก็ยังคงมีความผิดทางแพ่งที่ต้องชดเชยเยียวยาให้กับผู้เสียหาย ซึ่งผู้ปกครองจะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย

​5.2 สิทธิของเด็กและเยาวชนในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม

​สิทธิของเด็กและเยาวชนได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษตลอดกระบวนการ :

  • ชั้นสอบสวน: เมื่อถูกจับกุม จะต้องได้รับการแจ้งสิทธิทันที ซึ่งรวมถึงสิทธิในการได้รับการแจ้งข้อกล่าวหา สิทธิในการได้รับการแต่งตั้งทนายความ สิทธิในการได้รับการประกันตัว และสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาล  การสอบสวนจะยึดหลักการที่สำคัญคือ "งดเว้นการดำเนินการที่อาจทำให้ได้รับความอับอายหรือเสียหาย"

  • ชั้นศาล: คดีของเด็กและเยาวชนจะได้รับการพิจารณาในศาลเยาวชนและครอบครัว  โดยผู้พิพากษามักจะพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวหากครอบครัวยังสามารถดูแลได้

​5.3 บทบาทของทีมสหวิชาชีพและศาลเยาวชนและครอบครัว

​กระบวนการยุติธรรมสำหรับเยาวชนไม่ได้จำกัดอยู่แค่พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการเท่านั้น แต่ยังมีการทำงานร่วมกับ "ทีมสหวิชาชีพ" ซึ่งประกอบด้วยพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์  ทีมนี้มีหน้าที่สำคัญในการสืบเสาะและวิเคราะห์ประวัติ รวมถึงสภาพแวดล้อมของเด็กที่กระทำความผิดเพื่อค้นหาสาเหตุของการกระทำ  และจัดทำรายงานข้อเท็จจริงพร้อมให้ความเห็นต่อศาลว่าควรใช้มาตรการพิเศษใดแทนการลงโทษทางอาญา  พนักงานอัยการมีบทบาทในการทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในคดีความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็ก เยาวชน และครอบครัว

​5.4 บทลงโทษเพื่อการแก้ไขและฟื้นฟู

​กฎหมายเน้นที่การแก้ไขและฟื้นฟู โดยพนักงานอัยการอาจมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือยุติคดีได้ หากมีการจัดทำแผนการแก้ไขฟื้นฟูที่ทำให้เด็กสำนึกผิดและทำให้ผู้เสียหายได้รับการชดเชยเยียวยาอย่างเหมาะสม  นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมทางอาญาสำหรับเด็กมีเป้าหมายที่การคืนคนดีสู่สังคมมากกว่าการลงโทษเพื่อแก้แค้น

​6. การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากคดีอาญา

​นอกเหนือจากการดำเนินคดีเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดแล้ว รัฐยังได้จัดตั้งกลไกเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทั้งผู้เสียหายจากอาชญากรรมและจำเลยที่ถูกพิพากษาถึงที่สุดว่าไม่มีความผิด ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของระบบยุติธรรมที่ทันสมัย

​6.1 การขอรับค่าตอบแทนจากรัฐสำหรับผู้เสียหาย

​ผู้เสียหายในคดีอาญาสามารถขอรับเงินค่าตอบแทนจากรัฐได้ แม้ว่าผู้กระทำความผิดจะไม่มีเงินชดเชยให้ก็ตาม  การให้ความช่วยเหลือนี้เป็นการรับรองว่ารัฐมีหน้าที่ในการเป็นหลักประกันความยุติธรรมในท้ายที่สุด  โดยประเภทของค่าตอบแทนที่ผู้เสียหายจะได้รับมีดังนี้:

  • ​ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาลและค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ

  • ​ค่าตอบแทนในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย

  • ​ค่าขาดประโยชน์ในการทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

  • ​ค่าตอบแทนความเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร

​ผู้เสียหายจะต้องยื่นคำขอภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการกระทำความผิด  และต้องแสดงหลักฐานว่าตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น

​6.2 การเยียวยาจำเลยที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าไม่มีความผิด

​สำหรับบุคคลที่ถูกดำเนินคดีอาญาและถูกคุมขัง แต่ต่อมาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดหรือพ้นจากความผิดแล้ว กฎหมายได้ให้สิทธิในการขอรับค่าทดแทนจากรัฐเช่นกัน  การเยียวยา "แพะ" หรือผู้บริสุทธิ์ที่ต้องรับโทษไปก่อนนี้ถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบของรัฐต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม

ค่าทดแทนที่จำเลยจะได้รับจะพิจารณาจากความเดือดร้อน ระยะเวลาที่ถูกคุมขัง และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินคดี  โดยมีรายละเอียดดังนี้ :

  • ​ค่าทดแทนจากการถูกคุมขังในอัตราวันละ 500 บาท
  • ​ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ
  • ​ค่าขาดประโยชน์จากการทำมาหากิน
  • ​ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เช่น ค่าทนายความ

​อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ กฎหมายไม่ครอบคลุมการจ่ายเงินชดเชยในกรณีที่ศาลยกฟ้องด้วยเหตุผลว่า "หลักฐานไม่เพียงพอ" หรือ "ขาดอายุความ" ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ถูกปล่อยตัวเพราะไม่สามารถพิสูจน์ความผิดได้ แต่ศาลก็ไม่ได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง จะไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐ


​7. บทสรุป

​การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยเผยให้เห็นถึงระบบที่ประกอบด้วยหลายมิติและมีความซับซ้อน โดยไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการที่ดำเนินการโดยรัฐแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายมีบทบาทอย่างแข็งขันในการดำเนินคดี ไม่ว่าจะผ่านการฟ้องคดีเองหรือการเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ

​ความแตกต่างระหว่างคดีอาญาแผ่นดินและคดีความผิดต่อส่วนตัวเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดทิศทางของคดีตั้งแต่เริ่มต้น โดยเฉพาะในส่วนของการยอมความที่ส่งผลให้คดีสิ้นสุดลงได้ในความผิดต่อส่วนตัว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเจตนาผู้เสียหายในคดีประเภทนี้

​สำหรับคดีที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน ระบบยุติธรรมได้ปรับเปลี่ยนหลักการจากมุ่งเน้นการลงโทษไปสู่การแก้ไขและฟื้นฟู โดยอาศัยการทำงานของทีมสหวิชาชีพและศาลเยาวชนและครอบครัว เพื่อให้เด็กที่กระทำผิดสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างเหมาะสมที่สุด

​นอกจากนี้ การมีกลไกการเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยที่ถูกพิพากษาว่าไม่มีความผิดจากรัฐ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของระบบยุติธรรมที่ก้าวข้ามเพียงแค่การลงโทษผู้กระทำความผิด แต่ยังมุ่งเน้นการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมและจากความผิดพลาดของกระบวนการยุติธรรมเอง อย่างไรก็ตาม การเยียวยาจำเลยที่บริสุทธิ์ยังมีข้อจำกัดในกรณีที่ถูกปล่อยตัวเพราะเหตุผลด้านพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นประเด็นที่อาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในทางปฏิบัติ และเป็นข้อท้าทายที่ควรได้รับการพิจารณาต่อไปในอนาคต

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend


โพสต์แนะนำ

ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา

ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ​รายง...