เรื่องเล่าเพื่อการศึกษา การวิเคราะห์ทางกฎหมายและธรรมาภิบาล: กรณีความไม่โปร่งใสในการจัดตั้งและบริหารจัดการ มูลนิธิ(เหตุการณ์สมมติ)
1. บทสรุปสำหรับผู้บริหารและข้อค้นพบเบื้องต้น
กรณีของนายบอย พลังดี และ "มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน" เป็นตัวอย่างสำคัญของความขัดแย้งระหว่าง อำนาจทางสังคม (Social Authority) ของบุคคลผู้มีอิทธิพลบนสื่อสาธารณะ กับ อำนาจตามกฎหมาย (De Jure Power) ในการบริหารจัดการองค์กรไม่แสวงหากำไร มูลนิธิดังกล่าวสามารถระดมทุนได้สูงถึง 500 ล้านบาท โดยอาศัยความเชื่อมั่นส่วนบุคคลในตัวนายบอย แต่โครงสร้างการบริหารที่แท้จริงกลับถูกซ่อนเร้นไว้เบื้องหลังคณะกรรมการที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณะ
การวิเคราะห์เชิงลึกตามหลักการทางกฎหมายไทยชี้ให้เห็นว่า การกระทำดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะเข้าข่ายความรับผิดชอบทั้งทางอาญาและทางแพ่งอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงปัญหาธรรมาภิบาลที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อระบบองค์กรสาธารณกุศล
ข้อค้นพบทางกฎหมายที่สำคัญที่สุด
ความรับผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน: การที่นายบอยใช้ชื่อตัวเองและแสดงตนเป็นผู้มีอำนาจควบคุมเงินและทิศทางการจัดการ แต่ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวตนของผู้บริหารเงินตามกฎหมาย (นางซูซาน บานตะไท) และการปกปิดข้อบังคับเรื่องการโอนทรัพย์สินไปยังมูลนิธิที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง ย่อมเข้าข่ายการ "ปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง" ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
ความรับผิดทางแพ่งและสิทธิบอกล้างการบริจาค: ผู้บริจาคที่หลงเชื่อในตัวตนและสถานะผู้บริหารของนายบอย สามารถใช้สิทธิทางแพ่งในการ บอกล้างนิติกรรมการบริจาค เนื่องจากเกิด สำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 157)
ปัญหาธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล: โครงสร้างการบริหารงานที่จงใจแยกผู้ระดมทุนออกจากผู้ควบคุมการเงิน ถือเป็นปัญหาธรรมาภิบาลที่ร้ายแรง การกำหนดให้ทรัพย์สินของมูลนิธิเมื่อเลิกกิจการโอนไปยัง "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" ซึ่งมีนักการเมืองบริหารอยู่ อาจขัดต่อหลักการเรื่องวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลที่แท้จริงตาม ป.พ.พ. มาตรา 110 และนายทะเบียนมีอำนาจสั่งตรวจสอบหรือเพิกถอนได้ .
2. หลักการพื้นฐานทางกฎหมายว่าด้วยมูลนิธิและการระดมทุนสาธารณะ
2.1 สถานะทางกฎหมายของมูลนิธิและวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศล
มูลนิธิที่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) จะมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 122 . มูลนิธิถือเป็นทรัพย์สินที่ถูกจัดสรรไว้โดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ในการกุศลสาธารณะหรือสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมีข้อจำกัดสำคัญคือ มิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน . นอกจากนี้ การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง (ป.พ.พ. มาตรา 110 วรรคสอง) .
ในกรณีนี้ มูลนิธิฯ ซึ่งระดมทุนได้ 500 ล้านบาท มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องใช้เงินบริจาคตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ตั้งแต่ต้น และคณะกรรมการที่จดทะเบียนมีภาระรับผิดชอบในการกำกับดูแลให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างโปร่งใสและชอบด้วยกฎหมาย.
2.2 อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย: ความแตกต่างระหว่างผู้ก่อตั้ง กรรมการ และผู้มีอิทธิพล
กฎหมายมูลนิธิกำหนดให้ผู้มีอำนาจในการบริหารและจัดการทรัพย์สินของนิติบุคคลคือ คณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องปรากฏรายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพในเอกสารจดทะเบียน . ดังนั้น ในทางกฎหมาย ผู้รับผิดชอบเงินบริจาค 500 ล้านบาทนี้คือ นางซูซาน บานตะไท ในฐานะผู้ก่อตั้งและคณะกรรมการที่จดทะเบียนไว้ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมาย (Legal Accountability)
การที่นายบอย พลังดี ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนการระดมทุนหลักและเป็นที่มาของชื่อมูลนิธิ กลับไม่มีชื่อปรากฏในรายชื่อกรรมการเลย ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างขององค์กร การจัดตั้งองค์กรในลักษณะนี้เป็นการจงใจแยก อำนาจการเข้าถึงเงินทุน (Fundraising Access) ซึ่งมาจากความน่าเชื่อถือของนายบอย ออกจาก อำนาจการควบคุมทางการเงิน (Fiduciary Control) ซึ่งเป็นของนางซูซานและคณะกรรมการที่แท้จริง
โครงสร้างดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อให้นายบอยเป็นเพียง "หน้าฉาก" (Fronting) ในการดึงดูดเงินบริจาคจำนวนมหาศาล ขณะที่บุคคลอื่นหรือเครือข่ายอำนาจที่ซ่อนอยู่ (Hidden Authority) สามารถควบคุมทิศทางทรัพย์สินได้อย่างเบ็ดเสร็จภายหลัง ซึ่งเป็นความบกพร่องด้านธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรงตั้งแต่การจัดตั้ง . หากคณะกรรมการที่แท้จริงอนุญาตให้นายบอยเข้ามาจัดการงานมูลนิธิโดยไม่มีสถานะทางกฎหมาย ก็อาจเข้าข่ายการมอบหมายที่ผิดระเบียบและยังต้องรับผิดชอบร่วมกันในฐานะผู้รับผิดชอบดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหากำไร.
2.3 หลักการกำกับดูแลการเรี่ยไร: ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล
การเปิดรับบริจาคจากประชาชนจำนวนมาก (500 ล้านบาท) เข้าข่ายการ "เรี่ยไร" ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487. แม้ว่ามูลนิธิที่จดทะเบียนแล้วอาจได้รับการยกเว้นในหลายกรณี แต่กฎหมายควบคุมการเรี่ยไรเน้นย้ำถึงความโปร่งใสในการเปิดเผยวัตถุประสงค์และห้ามการใช้วิธีการใด ๆ ที่ทำให้ผู้ถูกเรี่ยไรหลงผิด .
ความคาดหวังของสาธารณชนต่อองค์กรสาธารณกุศลในยุคปัจจุบัน คือการมีมาตรฐานความโปร่งใสและความรับผิดชอบในระดับสูง องค์กรที่น่าเชื่อถือควรมีความเป็นอิสระทางการเงินและเปิดเผยโครงสร้างการบริหารอย่างชัดเจน การปกปิดสถานะผู้บริหารที่แท้จริงและเงื่อนไขการโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรฐานความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสาธารณะที่องค์กรขนาดใหญ่พึงมี
3. การวิเคราะห์ปัญหาทางนิติบุคคล: ความขัดแย้งด้านธรรมาภิบาล
3.1 การปกปิดสถานะทางทะเบียนและอำนาจบริหาร
การที่นายบอยใช้ชื่อตัวเองตั้งชื่อมูลนิธิและแสดงออกว่าตนเป็น "เจ้าของ" หรือผู้มีอำนาจสั่งการ (เช่น การประกาศว่าจะสั่งเปลี่ยนข้อบังคับ) ถือเป็นการสร้างความเข้าใจผิดอย่างจงใจต่อผู้ติดตาม 20 ล้านคนกรรมการที่จดทะเบียนไว้ (นางซูซาน และคณะ) มีความรับผิดชอบทางกฎหมายในการดูแลเงินบริจาค 500 ล้านบาท หากพวกเขาอนุญาตให้นายบอย (ซึ่งไม่มีสถานะทางกฎหมาย) แสดงอำนาจจัดการเงินหรือกำหนดทิศทางของมูลนิธิโดยไม่มีการควบคุมหรือบันทึกที่ชัดเจน กรรมการที่แท้จริงย่อมต้องรับผิดชอบต่อความประพฤติและผลที่ตามมาของการใช้อำนาจผิดวัตถุประสงค์. การดำเนินการเช่นนี้อาจเข้าข่ายการบริหารงานที่ขัดต่อข้อบังคับของมูลนิธิหรือวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ต่อนายทะเบียน ซึ่งนายทะเบียนมูลนิธิมีอำนาจเข้าตรวจสอบและสั่งระงับกิจการได้.
3.2 ความชอบด้วยกฎหมายของข้อบังคับการโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ
ในทางกฎหมาย เมื่อมูลนิธิเลิกกิจการ ทรัพย์สินที่เหลือจากการชำระบัญชีจะต้องถูกโอนไปยังมูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 110 (เพื่อสาธารณกุศลหรือสาธารณประโยชน์) การที่ข้อบังคับเดิมระบุให้โอนทรัพย์สินไปยัง "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" เป็นการกระทำที่ทำได้ตามขั้นตอนการจดทะเบียน.
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการที่ "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" มีนักการเมืองคนหนึ่งเป็นผู้บริหาร การจัดสรรทรัพย์สินของมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์สาธารณกุศลจำนวนมหาศาลให้แก่องค์กรที่มีความเชื่อมโยงหรือผลประโยชน์ทางการเมือง ย่อมสร้างความกังวลว่าทรัพย์สินเหล่านั้นอาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง แทนที่จะเป็นไปเพื่อ "สาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง" ตามที่กฎหมายกำหนด . หากนายทะเบียนพิจารณาว่ามูลนิธิผู้รับโอนอาจใช้วัตถุประสงค์ที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 110 ข้อบังคับดังกล่าวอาจถูกสั่งให้แก้ไขเมื่อมีการชำระบัญชี หรือในระหว่างการตรวจสอบของนายทะเบียน การกระทำนี้จึงเป็นกลไกที่อาจถูกออกแบบมาเพื่อบิดเบือนเจตนาการกุศลของผู้บริจาค โดยเปลี่ยนเงินบริจาคสาธารณะไปเป็นเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมที่อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวในอนาคต
3.3 อำนาจในการแก้ไขข้อบังคับตามที่นายบอยประกาศ
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องดำเนินการโดยมติของคณะกรรมการมูลนิธิที่จดทะเบียนไว้เท่านั้น หลังจากมีมติแล้ว ต้องยื่นเรื่องขอจดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนมูลนิธิ (เช่น กรมการปกครอง หรือสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร) ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้เวลาในการพิจารณา (ประมาณ 25 วัน) และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย .
การที่นายบอยประกาศต่อสาธารณะว่าจะ "สั่งเปลี่ยนข้อบังคับ" โดยที่เขาไม่ได้มีสถานะเป็นกรรมการ จึงเป็นการแสดงอำนาจที่ไม่สอดคล้องกับสถานะทางกฎหมายของมูลนิธิ การเปลี่ยนแปลงจะมีผลทางกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการที่แท้จริงดำเนินการตามขั้นตอนและนายทะเบียนอนุมัติเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การประกาศเช่นนี้ถือเป็นการรับรู้โดยปริยายว่าข้อบังคับเดิมเป็นปัญหาต่อความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่นายทะเบียนสามารถใช้ในการพิจารณาสั่งตรวจสอบได้
4. ความรับผิดทางอาญา: องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน (ป.อ. มาตรา 343)
ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเป็นความผิดต่อรัฐซึ่งไม่สามารถยอมความกันได้ .
4.1 การวิเคราะห์องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชน
องค์ประกอบหลักของความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนคือ การที่ผู้กระทำ (1) แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง (2) โดยการกระทำนั้น ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ (3) และได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอก .
ในกรณีนี้ การกระทำของนายบอยเข้าข่ายการปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญถึงสองประเด็นหลัก:
การปกปิดตัวตนของผู้บริหารเงิน: นายบอยใช้ชื่อเสียงของตนเองและชื่อ "มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน" ในการระดมทุน ทำให้สาธารณชนหลงเชื่อว่าเขามีอำนาจจัดการและรับผิดชอบเงินทุนโดยตรง แต่ความจริงคือเขาปกปิดว่าอำนาจการจัดการตามกฎหมายเป็นของ นางซูซาน และคณะกรรมการที่ไม่เป็นที่รู้จัก .
การปกปิดปลายทางทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ: นายบอยปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องข้อบังคับที่กำหนดให้เงินบริจาค 500 ล้านบาท อาจตกไปเป็นของมูลนิธิที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง
4.2 การตีความ "การปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง"
ความเชื่อมั่นของประชาชนในการบริจาคเงินจำนวนมหาศาลนี้เกิดจากความเชื่อในความซื่อสัตย์และสถานะของผู้บริหารจัดการเงิน (นายบอย) และความคาดหวังว่าเงินนั้นจะถูกใช้เพื่อสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เมื่อข้อเท็จจริงทางกฎหมายเปิดเผยว่าผู้มีอำนาจจัดการเงินไม่ใช่บุคคลที่ประชาชนเชื่อถือ และทรัพย์สินอาจตกไปอยู่ในมือขององค์กรที่อาจมีความเชื่อมโยงทางการเมือง นี่ถือเป็น สาระสำคัญ ที่หากประชาชนทราบความจริงคงจะไม่ตัดสินใจบริจาคเงินให้ .
ดังนั้น การได้มาซึ่งทรัพย์สิน 500 ล้านบาท ผ่านการแสดงออกที่ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "คุณสมบัติ" ของนิติบุคคลผู้รับบริจาคและการจัดการทรัพย์สินที่แท้จริง ย่อมถือว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตที่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343
5. ความรับผิดทางแพ่ง: การบอกล้างนิติกรรมสัญญาบริจาคโดยสำคัญผิด
ประชาชนที่โอนเงินบริจาคไปแล้วโดยหลงผิด มีช่องทางทางแพ่งในการเรียกร้องสิทธิของตนคืน โดยอาศัยหลักการสำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค
5.1 หลักกฎหมายว่าด้วยการสำคัญผิดในคุณสมบัติ (ป.พ.พ. มาตรา 157)
การบริจาคเงินเป็นการทำนิติกรรมสัญญาการให้ (Donation Contract) ผู้บริจาคสามารถอ้างว่าตนสำคัญผิดในคุณสมบัติของมูลนิธิผู้รับบริจาคอันเป็นสาระสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุให้การแสดงเจตนาของตนเป็นโมฆียะกรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 157 .
มาตรา 157 ระบุว่า การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ และความสำคัญผิดนั้นต้องเป็นคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว นิติกรรมนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น .
ในกรณีนี้ คุณสมบัติที่เป็นสาระสำคัญที่ผู้บริจาคสำคัญผิดคือ:
ตัวตนของผู้บริหารเงิน (The Administrator Identity): ผู้บริจาคเชื่อว่าเงินจะถูกบริหารโดยนายบอย (ผู้ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือ) แต่ความจริงคือถูกบริหารโดยคณะกรรมการที่ไม่โปร่งใส
ความชอบธรรมของวัตถุประสงค์ขององค์กร: ผู้บริจาคเชื่อว่าเงินจะถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณกุศลอย่างแท้จริงและต่อเนื่อง โดยไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง ซึ่งรวมถึงการจัดสรรทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ .
5.2 สิทธิและขั้นตอนการบอกล้างนิติกรรมของผู้บริจาค
เมื่อผู้บริจาคสามารถพิสูจน์ได้ว่าการบริจาคเกิดจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติอันเป็นสาระสำคัญ ก็จะมีสิทธิ บอกล้างนิติกรรมการให้ ดังกล่าวได้ .
ผลของการบอกล้างคือ โมฆียะกรรมนั้นจะถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก (Void ab initio) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 176 มูลนิธิซึ่งเป็นคู่กรณีมีหน้าที่ต้อง กลับคืนสู่ฐานะเดิม ซึ่งหมายถึงการคืนเงินบริจาคให้แก่ผู้บริจาค สิทธิเรียกร้องนี้มีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่บอกล้างโมฆียกรรม
อย่างไรก็ตาม มีข้อพิจารณาที่ซับซ้อนในทางปฏิบัติ หากมูลนิธิได้นำเงินบริจาค 500 ล้านบาท ไปใช้ช่วยเหลือสาธารณชนตามวัตถุประสงค์ (ตามที่นายบอยโชว์ใบเสร็จ) แล้วจริง การกลับคืนสู่ฐานะเดิมอาจถือเป็น พ้นวิสัย ตามมาตรา 176 ในกรณีที่พ้นวิสัยที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ มูลนิธิอาจมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้บริจาคแทน
ดังนั้น ความรับผิดทางแพ่งของมูลนิธิจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการพิสูจน์การใช้เงินอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามวัตถุประสงค์สาธารณะ หากการใช้จ่ายขาดความโปร่งใส หรือมีหลักฐานว่ามีการนำเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ที่ไม่ใช่สาธารณกุศล โอกาสที่ผู้บริจาคจะชนะคดีเพื่อเรียกเงินคืนจะมีสูงขึ้น
6. ข้อสรุปและข้อเสนอแนะทางกฎหมาย
6.1 ความจำเป็นในการจดทะเบียนและบริหารงานโดยผู้มีอำนาจที่แท้จริง
ตามกฎหมายแล้ว มูลนิธิไม่จำเป็นต้องมีนายบอย พลังดี เป็นผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารการเงินด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากนายบอยเป็นผู้ใช้ชื่อและภาพลักษณ์ส่วนตัวในการควบคุมการตัดสินใจและระดมทุนหลักจำนวนมหาศาล (500 ล้านบาท) การที่เขาไม่ได้ปรากฏชื่อในฐานะกรรมการมูลนิธิเพื่อรับผิดชอบต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ จึงเป็น ช่องโหว่ทางธรรมาภิบาล ที่จงใจสร้างขึ้น
การดำเนินงานของมูลนิธิควรต้องสอดคล้องกับหลักการความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ . ในทางปฏิบัติ นายบอยซึ่งเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการ de facto ควรต้องขึ้นทะเบียนเป็นกรรมการ de jure เพื่อรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพย์สินตามมาตรา 110 แห่ง ป.พ.พ. . หากกรรมการที่แท้จริงยินยอมให้นายบอยจัดการเงินโดยขาดการกำกับดูแล พวกเขายังคงต้องรับผิดชอบต่อความประพฤติในการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหากำไร.
6.2 บทบาทของนายทะเบียนในการกำกับดูแลและแก้ไข
นายทะเบียนมูลนิธิ (กรมการปกครอง) มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิทุกแห่ง หากพบว่าคณะกรรมการมูลนิธิฝ่าฝืนข้อบังคับ ใช้ทรัพย์สินผิดวัตถุประสงค์ หรือการบริหารงานไม่โปร่งใส (เช่น การปกปิดโครงสร้างอำนาจ หรือเงื่อนไขการโอนทรัพย์สินที่ขัดต่อวัตถุประสงค์สาธารณกุศล) นายทะเบียนสามารถสั่งให้มูลนิธิแก้ไขข้อบังคับ หรือพิจารณาสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้.
การที่นายบอยออกมาประกาศว่าจะ "เปลี่ยนแปลงข้อบังคับ" เพื่อเปลี่ยนผู้รับโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ ควรเป็นสัญญาณที่นายทะเบียนควรใช้ในการสั่งตรวจสอบและทบทวนข้อบังคับเดิมทันที ว่าการระบุชื่อ "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" ซึ่งมีนักการเมืองบริหารนั้น ชอบด้วยเจตนารมณ์ของ ป.พ.พ. มาตรา 110 ตั้งแต่ต้นหรือไม่ .
6.3 แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริจาคที่โอนเงินไปแล้ว
ประชาชนที่รู้สึกว่าตนถูกปกปิดข้อเท็จจริงและหลงผิดในการบริจาค มีช่องทางในการดำเนินการทางกฎหมาย ดังสรุปในตารางวิเคราะห์ด้านล่าง:
ตารางที่ 1: ช่องทางการดำเนินคดีและข้อเรียกร้องสำหรับผู้บริจาคที่หลงผิด
| ช่องทางกฎหมาย | ฐานกฎหมาย/หลักการ | ผู้รับผิดชอบที่ถูกดำเนินการ | วัตถุประสงค์หลัก | ผลที่คาดหวัง |
| การฟ้องร้องทางอาญา | ป.อ. มาตรา 343 (ฉ้อโกงประชาชน) | นายบอย และ/หรือ คณะกรรมการที่รู้เห็น | ให้รัฐลงโทษผู้กระทำความผิด | คดีไม่สามารถยอมความได้ ต้องพิสูจน์ว่าการปกปิดข้อเท็จจริงเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อโอนเงิน |
| การฟ้องร้องทางแพ่ง | ป.พ.พ. ม. 157 (สำคัญผิด) และ ม. 176 (การบอกล้าง) | มูลนิธิ (นิติบุคคล) | เรียกเงินบริจาคคืน หรือเรียกค่าเสียหายชดใช้แทน | มีสิทธิบอกล้างได้ แต่การคืนเงินอาจถูกโต้แย้งว่าพ้นวิสัยหากเงินถูกใช้ช่วยคนไปแล้วจริง |
| ยื่นคำร้องต่อนายทะเบียน | การดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์/ไม่โปร่งใส | นายทะเบียนมูลนิธิ (กรมการปกครอง) | ตรวจสอบธรรมาภิบาลและการใช้เงิน/ข้อบังคับ | นายทะเบียนอาจสั่งให้มูลนิธิแก้ไขข้อบังคับ หรือเพิกถอนการจดทะเบียน |
การดำเนินการทางอาญาจะมุ่งเน้นที่การพิสูจน์เจตนาทุจริตในการปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์สิน ขณะที่การดำเนินการทางแพ่งจะมุ่งเน้นไปที่การบอกล้างความผูกพันตามสัญญาบริจาคที่เกิดจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค ซึ่งทั้งสองแนวทางสามารถดำเนินการควบคู่กันไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณชนได้.









