แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รับบริจาค แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รับบริจาค แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เรื่องเล่าเพื่อการศึกษา การวิเคราะห์ทางกฎหมายและธรรมาภิบาล: กรณีความไม่โปร่งใสในการจัดตั้งและบริหารจัดการ มูลนิธิ

 



เรื่องเล่าเพื่อการศึกษา การวิเคราะห์ทางกฎหมายและธรรมาภิบาล: กรณีความไม่โปร่งใสในการจัดตั้งและบริหารจัดการ มูลนิธิ(เหตุการณ์สมมติ)

เรื่องเล่าเพื่อการศึกษา: “บอย พลังดี กับ มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน”
บอย พลังดี(นามสมมติ) เป็นหนุ่มขายก๋วยเตี๋ยวข้างทางในจังหวัดหนึ่งของภาคเหนือ
ไม่มีใครคิดว่าเด็กช่างฝันคนนี้จะกลายเป็นคนที่มีชื่อในสื่อ
ทุกอย่างเริ่มจากคลิปสั้นที่เขาแจกบะหมี่ฟรีให้แรงงานตกงานช่วงโควิด
คนแชร์กันเป็นล้าน วิวพุ่ง บอยกลายเป็นฮีโร่ชาวบ้าน
จากนั้นเขาเริ่มช่วยเคสยาก ๆ — เด็กถูกทำร้าย คนป่วยไร้เตียง ชาวบ้านถูกโกง
“ผมไม่ได้เป็นใครหรอกครับ แค่คนไม่อยากเห็นใครลำบาก”
เขาพูดประโยคนี้บ่อยมาก เวลามีนักข่าวมาสัมภาษณ์
วันหนึ่ง บอยประกาศก่อตั้ง “มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน” และเปิดเพจเฟซบุ้คจนมีผู้ติดตาม 20 ล้านคน
เพื่อรวมทีมอาสาและเงินบริจาคให้มีระบบ
โลโก้เป็นรูปมือสองข้างจับกันแน่น — สื่อถึงการพึ่งพา
คนบริจาคกันทั่วประเทศ ยอดบริจาคพุ่งถึง 500 ล้านบาท(สมมติ) แต่ไม่นานนัก สื่อก็เริ่มตั้งคำถามว่า
“ใครเป็นเจ้าของมูลนิธิกันแน่?”
มีคนตรวจพบว่าในเอกสารจดทะเบียนชื่อผู้ก่อตั้งคือ
นางซูซาน บานตะไท
ส่วนชื่อของบอยไม่มีในรายชื่อกรรมการเลย
แม้แต่ในข้อบังคับยังระบุว่า หากมูลนิธิเลิกกิจการ
ทรัพย์สินทั้งหมดจะโอนไปยัง “มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด” ซึ่งมีนักการเมืองคนหนึ่งเป็นผู้บริหาร
สังคมตั้งคำถามว่า
“บอยโดนใช้ชื่อหรือเปล่า?”
“หรือเขารู้เห็นด้วย?”
บอยออกมาไลฟ์น้ำตาคลอ
“ผมไม่ได้หนีครับ ผมไม่ใช่นักกฎหมาย ผมแค่คนอยากช่วย”
เขายืนยันว่า ทุกบาทที่คนโอนมาเข้าบัญชีมูลนิธิ ถูกใช้ช่วยคนจริง
พร้อมโชว์ใบโอนและใบเสร็จเต็มโต๊ะ
พร้อมพูดต่อหน้านักข่าวว่า จะเปลี่ยนแปลงข้อบังคับที่ให้ทรัพย์สินตกเป็นของ “มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด” เป็น ให้ทรัพย์สินตกเป็นของมูลนิธิอื่น

1. บทสรุปสำหรับผู้บริหารและข้อค้นพบเบื้องต้น



กรณีของนายบอย พลังดี และ "มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน" เป็นตัวอย่างสำคัญของความขัดแย้งระหว่าง อำนาจทางสังคม (Social Authority) ของบุคคลผู้มีอิทธิพลบนสื่อสาธารณะ กับ อำนาจตามกฎหมาย (De Jure Power) ในการบริหารจัดการองค์กรไม่แสวงหากำไร มูลนิธิดังกล่าวสามารถระดมทุนได้สูงถึง 500 ล้านบาท โดยอาศัยความเชื่อมั่นส่วนบุคคลในตัวนายบอย แต่โครงสร้างการบริหารที่แท้จริงกลับถูกซ่อนเร้นไว้เบื้องหลังคณะกรรมการที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณะ

การวิเคราะห์เชิงลึกตามหลักการทางกฎหมายไทยชี้ให้เห็นว่า การกระทำดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะเข้าข่ายความรับผิดชอบทั้งทางอาญาและทางแพ่งอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงปัญหาธรรมาภิบาลที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อระบบองค์กรสาธารณกุศล

ข้อค้นพบทางกฎหมายที่สำคัญที่สุด

  1. ความรับผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน: การที่นายบอยใช้ชื่อตัวเองและแสดงตนเป็นผู้มีอำนาจควบคุมเงินและทิศทางการจัดการ แต่ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวตนของผู้บริหารเงินตามกฎหมาย (นางซูซาน บานตะไท) และการปกปิดข้อบังคับเรื่องการโอนทรัพย์สินไปยังมูลนิธิที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง ย่อมเข้าข่ายการ "ปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง" ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343

  2. ความรับผิดทางแพ่งและสิทธิบอกล้างการบริจาค: ผู้บริจาคที่หลงเชื่อในตัวตนและสถานะผู้บริหารของนายบอย สามารถใช้สิทธิทางแพ่งในการ บอกล้างนิติกรรมการบริจาค เนื่องจากเกิด สำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 157)

  3. ปัญหาธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล: โครงสร้างการบริหารงานที่จงใจแยกผู้ระดมทุนออกจากผู้ควบคุมการเงิน ถือเป็นปัญหาธรรมาภิบาลที่ร้ายแรง การกำหนดให้ทรัพย์สินของมูลนิธิเมื่อเลิกกิจการโอนไปยัง "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" ซึ่งมีนักการเมืองบริหารอยู่ อาจขัดต่อหลักการเรื่องวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลที่แท้จริงตาม ป.พ.พ. มาตรา 110 และนายทะเบียนมีอำนาจสั่งตรวจสอบหรือเพิกถอนได้ .

2. หลักการพื้นฐานทางกฎหมายว่าด้วยมูลนิธิและการระดมทุนสาธารณะ

2.1 สถานะทางกฎหมายของมูลนิธิและวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศล

มูลนิธิที่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) จะมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 122 . มูลนิธิถือเป็นทรัพย์สินที่ถูกจัดสรรไว้โดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ในการกุศลสาธารณะหรือสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมีข้อจำกัดสำคัญคือ มิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน . นอกจากนี้ การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง (ป.พ.พ. มาตรา 110 วรรคสอง) .

ในกรณีนี้ มูลนิธิฯ ซึ่งระดมทุนได้ 500 ล้านบาท มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องใช้เงินบริจาคตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ตั้งแต่ต้น และคณะกรรมการที่จดทะเบียนมีภาระรับผิดชอบในการกำกับดูแลให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างโปร่งใสและชอบด้วยกฎหมาย.

2.2 อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย: ความแตกต่างระหว่างผู้ก่อตั้ง กรรมการ และผู้มีอิทธิพล

กฎหมายมูลนิธิกำหนดให้ผู้มีอำนาจในการบริหารและจัดการทรัพย์สินของนิติบุคคลคือ คณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องปรากฏรายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพในเอกสารจดทะเบียน . ดังนั้น ในทางกฎหมาย ผู้รับผิดชอบเงินบริจาค 500 ล้านบาทนี้คือ นางซูซาน บานตะไท ในฐานะผู้ก่อตั้งและคณะกรรมการที่จดทะเบียนไว้ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมาย (Legal Accountability)

การที่นายบอย พลังดี ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนการระดมทุนหลักและเป็นที่มาของชื่อมูลนิธิ กลับไม่มีชื่อปรากฏในรายชื่อกรรมการเลย ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างขององค์กร การจัดตั้งองค์กรในลักษณะนี้เป็นการจงใจแยก อำนาจการเข้าถึงเงินทุน (Fundraising Access) ซึ่งมาจากความน่าเชื่อถือของนายบอย ออกจาก อำนาจการควบคุมทางการเงิน (Fiduciary Control) ซึ่งเป็นของนางซูซานและคณะกรรมการที่แท้จริง

โครงสร้างดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อให้นายบอยเป็นเพียง "หน้าฉาก" (Fronting) ในการดึงดูดเงินบริจาคจำนวนมหาศาล ขณะที่บุคคลอื่นหรือเครือข่ายอำนาจที่ซ่อนอยู่ (Hidden Authority) สามารถควบคุมทิศทางทรัพย์สินได้อย่างเบ็ดเสร็จภายหลัง ซึ่งเป็นความบกพร่องด้านธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรงตั้งแต่การจัดตั้ง . หากคณะกรรมการที่แท้จริงอนุญาตให้นายบอยเข้ามาจัดการงานมูลนิธิโดยไม่มีสถานะทางกฎหมาย ก็อาจเข้าข่ายการมอบหมายที่ผิดระเบียบและยังต้องรับผิดชอบร่วมกันในฐานะผู้รับผิดชอบดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหากำไร.

2.3 หลักการกำกับดูแลการเรี่ยไร: ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล

การเปิดรับบริจาคจากประชาชนจำนวนมาก (500 ล้านบาท) เข้าข่ายการ "เรี่ยไร" ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487. แม้ว่ามูลนิธิที่จดทะเบียนแล้วอาจได้รับการยกเว้นในหลายกรณี แต่กฎหมายควบคุมการเรี่ยไรเน้นย้ำถึงความโปร่งใสในการเปิดเผยวัตถุประสงค์และห้ามการใช้วิธีการใด ๆ ที่ทำให้ผู้ถูกเรี่ยไรหลงผิด .

ความคาดหวังของสาธารณชนต่อองค์กรสาธารณกุศลในยุคปัจจุบัน คือการมีมาตรฐานความโปร่งใสและความรับผิดชอบในระดับสูง องค์กรที่น่าเชื่อถือควรมีความเป็นอิสระทางการเงินและเปิดเผยโครงสร้างการบริหารอย่างชัดเจน การปกปิดสถานะผู้บริหารที่แท้จริงและเงื่อนไขการโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรฐานความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสาธารณะที่องค์กรขนาดใหญ่พึงมี

3. การวิเคราะห์ปัญหาทางนิติบุคคล: ความขัดแย้งด้านธรรมาภิบาล

3.1 การปกปิดสถานะทางทะเบียนและอำนาจบริหาร

การที่นายบอยใช้ชื่อตัวเองตั้งชื่อมูลนิธิและแสดงออกว่าตนเป็น "เจ้าของ" หรือผู้มีอำนาจสั่งการ (เช่น การประกาศว่าจะสั่งเปลี่ยนข้อบังคับ) ถือเป็นการสร้างความเข้าใจผิดอย่างจงใจต่อผู้ติดตาม 20 ล้านคนกรรมการที่จดทะเบียนไว้ (นางซูซาน และคณะ) มีความรับผิดชอบทางกฎหมายในการดูแลเงินบริจาค 500 ล้านบาท หากพวกเขาอนุญาตให้นายบอย (ซึ่งไม่มีสถานะทางกฎหมาย) แสดงอำนาจจัดการเงินหรือกำหนดทิศทางของมูลนิธิโดยไม่มีการควบคุมหรือบันทึกที่ชัดเจน กรรมการที่แท้จริงย่อมต้องรับผิดชอบต่อความประพฤติและผลที่ตามมาของการใช้อำนาจผิดวัตถุประสงค์. การดำเนินการเช่นนี้อาจเข้าข่ายการบริหารงานที่ขัดต่อข้อบังคับของมูลนิธิหรือวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ต่อนายทะเบียน ซึ่งนายทะเบียนมูลนิธิมีอำนาจเข้าตรวจสอบและสั่งระงับกิจการได้.

3.2 ความชอบด้วยกฎหมายของข้อบังคับการโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ

ในทางกฎหมาย เมื่อมูลนิธิเลิกกิจการ ทรัพย์สินที่เหลือจากการชำระบัญชีจะต้องถูกโอนไปยังมูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 110 (เพื่อสาธารณกุศลหรือสาธารณประโยชน์)  การที่ข้อบังคับเดิมระบุให้โอนทรัพย์สินไปยัง "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" เป็นการกระทำที่ทำได้ตามขั้นตอนการจดทะเบียน.

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการที่ "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" มีนักการเมืองคนหนึ่งเป็นผู้บริหาร การจัดสรรทรัพย์สินของมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์สาธารณกุศลจำนวนมหาศาลให้แก่องค์กรที่มีความเชื่อมโยงหรือผลประโยชน์ทางการเมือง ย่อมสร้างความกังวลว่าทรัพย์สินเหล่านั้นอาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง แทนที่จะเป็นไปเพื่อ "สาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง" ตามที่กฎหมายกำหนด . หากนายทะเบียนพิจารณาว่ามูลนิธิผู้รับโอนอาจใช้วัตถุประสงค์ที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 110 ข้อบังคับดังกล่าวอาจถูกสั่งให้แก้ไขเมื่อมีการชำระบัญชี หรือในระหว่างการตรวจสอบของนายทะเบียน การกระทำนี้จึงเป็นกลไกที่อาจถูกออกแบบมาเพื่อบิดเบือนเจตนาการกุศลของผู้บริจาค โดยเปลี่ยนเงินบริจาคสาธารณะไปเป็นเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมที่อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวในอนาคต

3.3 อำนาจในการแก้ไขข้อบังคับตามที่นายบอยประกาศ

การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องดำเนินการโดยมติของคณะกรรมการมูลนิธิที่จดทะเบียนไว้เท่านั้น หลังจากมีมติแล้ว ต้องยื่นเรื่องขอจดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนมูลนิธิ (เช่น กรมการปกครอง หรือสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร) ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้เวลาในการพิจารณา (ประมาณ 25 วัน) และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย .

การที่นายบอยประกาศต่อสาธารณะว่าจะ "สั่งเปลี่ยนข้อบังคับ" โดยที่เขาไม่ได้มีสถานะเป็นกรรมการ จึงเป็นการแสดงอำนาจที่ไม่สอดคล้องกับสถานะทางกฎหมายของมูลนิธิ การเปลี่ยนแปลงจะมีผลทางกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการที่แท้จริงดำเนินการตามขั้นตอนและนายทะเบียนอนุมัติเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การประกาศเช่นนี้ถือเป็นการรับรู้โดยปริยายว่าข้อบังคับเดิมเป็นปัญหาต่อความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่นายทะเบียนสามารถใช้ในการพิจารณาสั่งตรวจสอบได้

4. ความรับผิดทางอาญา: องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน (ป.อ. มาตรา 343)

ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเป็นความผิดต่อรัฐซึ่งไม่สามารถยอมความกันได้ .

4.1 การวิเคราะห์องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชน

องค์ประกอบหลักของความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนคือ การที่ผู้กระทำ (1) แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง (2) โดยการกระทำนั้น ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ (3) และได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอก .

ในกรณีนี้ การกระทำของนายบอยเข้าข่ายการปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญถึงสองประเด็นหลัก:

  1. การปกปิดตัวตนของผู้บริหารเงิน: นายบอยใช้ชื่อเสียงของตนเองและชื่อ "มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน" ในการระดมทุน ทำให้สาธารณชนหลงเชื่อว่าเขามีอำนาจจัดการและรับผิดชอบเงินทุนโดยตรง แต่ความจริงคือเขาปกปิดว่าอำนาจการจัดการตามกฎหมายเป็นของ นางซูซาน และคณะกรรมการที่ไม่เป็นที่รู้จัก .

  2. การปกปิดปลายทางทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ: นายบอยปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องข้อบังคับที่กำหนดให้เงินบริจาค 500 ล้านบาท อาจตกไปเป็นของมูลนิธิที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง

4.2 การตีความ "การปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง"

ความเชื่อมั่นของประชาชนในการบริจาคเงินจำนวนมหาศาลนี้เกิดจากความเชื่อในความซื่อสัตย์และสถานะของผู้บริหารจัดการเงิน (นายบอย) และความคาดหวังว่าเงินนั้นจะถูกใช้เพื่อสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เมื่อข้อเท็จจริงทางกฎหมายเปิดเผยว่าผู้มีอำนาจจัดการเงินไม่ใช่บุคคลที่ประชาชนเชื่อถือ และทรัพย์สินอาจตกไปอยู่ในมือขององค์กรที่อาจมีความเชื่อมโยงทางการเมือง นี่ถือเป็น สาระสำคัญ ที่หากประชาชนทราบความจริงคงจะไม่ตัดสินใจบริจาคเงินให้ .

ดังนั้น การได้มาซึ่งทรัพย์สิน 500 ล้านบาท ผ่านการแสดงออกที่ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "คุณสมบัติ" ของนิติบุคคลผู้รับบริจาคและการจัดการทรัพย์สินที่แท้จริง ย่อมถือว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตที่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343

5. ความรับผิดทางแพ่ง: การบอกล้างนิติกรรมสัญญาบริจาคโดยสำคัญผิด



ประชาชนที่โอนเงินบริจาคไปแล้วโดยหลงผิด มีช่องทางทางแพ่งในการเรียกร้องสิทธิของตนคืน โดยอาศัยหลักการสำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค

5.1 หลักกฎหมายว่าด้วยการสำคัญผิดในคุณสมบัติ (ป.พ.พ. มาตรา 157)

การบริจาคเงินเป็นการทำนิติกรรมสัญญาการให้ (Donation Contract) ผู้บริจาคสามารถอ้างว่าตนสำคัญผิดในคุณสมบัติของมูลนิธิผู้รับบริจาคอันเป็นสาระสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุให้การแสดงเจตนาของตนเป็นโมฆียะกรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 157 .

มาตรา 157 ระบุว่า การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ และความสำคัญผิดนั้นต้องเป็นคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว นิติกรรมนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น .

ในกรณีนี้ คุณสมบัติที่เป็นสาระสำคัญที่ผู้บริจาคสำคัญผิดคือ:

  1. ตัวตนของผู้บริหารเงิน (The Administrator Identity): ผู้บริจาคเชื่อว่าเงินจะถูกบริหารโดยนายบอย (ผู้ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือ) แต่ความจริงคือถูกบริหารโดยคณะกรรมการที่ไม่โปร่งใส

  2. ความชอบธรรมของวัตถุประสงค์ขององค์กร: ผู้บริจาคเชื่อว่าเงินจะถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณกุศลอย่างแท้จริงและต่อเนื่อง โดยไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง ซึ่งรวมถึงการจัดสรรทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ .

5.2 สิทธิและขั้นตอนการบอกล้างนิติกรรมของผู้บริจาค

เมื่อผู้บริจาคสามารถพิสูจน์ได้ว่าการบริจาคเกิดจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติอันเป็นสาระสำคัญ ก็จะมีสิทธิ บอกล้างนิติกรรมการให้ ดังกล่าวได้ .

ผลของการบอกล้างคือ โมฆียะกรรมนั้นจะถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก (Void ab initio) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 176 มูลนิธิซึ่งเป็นคู่กรณีมีหน้าที่ต้อง กลับคืนสู่ฐานะเดิม ซึ่งหมายถึงการคืนเงินบริจาคให้แก่ผู้บริจาค สิทธิเรียกร้องนี้มีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่บอกล้างโมฆียกรรม

อย่างไรก็ตาม มีข้อพิจารณาที่ซับซ้อนในทางปฏิบัติ หากมูลนิธิได้นำเงินบริจาค 500 ล้านบาท ไปใช้ช่วยเหลือสาธารณชนตามวัตถุประสงค์ (ตามที่นายบอยโชว์ใบเสร็จ) แล้วจริง การกลับคืนสู่ฐานะเดิมอาจถือเป็น พ้นวิสัย ตามมาตรา 176 ในกรณีที่พ้นวิสัยที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ มูลนิธิอาจมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้บริจาคแทน

ดังนั้น ความรับผิดทางแพ่งของมูลนิธิจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการพิสูจน์การใช้เงินอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามวัตถุประสงค์สาธารณะ หากการใช้จ่ายขาดความโปร่งใส หรือมีหลักฐานว่ามีการนำเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ที่ไม่ใช่สาธารณกุศล โอกาสที่ผู้บริจาคจะชนะคดีเพื่อเรียกเงินคืนจะมีสูงขึ้น

6. ข้อสรุปและข้อเสนอแนะทางกฎหมาย



6.1 ความจำเป็นในการจดทะเบียนและบริหารงานโดยผู้มีอำนาจที่แท้จริง

ตามกฎหมายแล้ว มูลนิธิไม่จำเป็นต้องมีนายบอย พลังดี เป็นผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารการเงินด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากนายบอยเป็นผู้ใช้ชื่อและภาพลักษณ์ส่วนตัวในการควบคุมการตัดสินใจและระดมทุนหลักจำนวนมหาศาล (500 ล้านบาท) การที่เขาไม่ได้ปรากฏชื่อในฐานะกรรมการมูลนิธิเพื่อรับผิดชอบต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ จึงเป็น ช่องโหว่ทางธรรมาภิบาล ที่จงใจสร้างขึ้น

การดำเนินงานของมูลนิธิควรต้องสอดคล้องกับหลักการความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ . ในทางปฏิบัติ นายบอยซึ่งเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการ de facto ควรต้องขึ้นทะเบียนเป็นกรรมการ de jure เพื่อรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพย์สินตามมาตรา 110 แห่ง ป.พ.พ. . หากกรรมการที่แท้จริงยินยอมให้นายบอยจัดการเงินโดยขาดการกำกับดูแล พวกเขายังคงต้องรับผิดชอบต่อความประพฤติในการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหากำไร.

6.2 บทบาทของนายทะเบียนในการกำกับดูแลและแก้ไข

นายทะเบียนมูลนิธิ (กรมการปกครอง) มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิทุกแห่ง หากพบว่าคณะกรรมการมูลนิธิฝ่าฝืนข้อบังคับ ใช้ทรัพย์สินผิดวัตถุประสงค์ หรือการบริหารงานไม่โปร่งใส (เช่น การปกปิดโครงสร้างอำนาจ หรือเงื่อนไขการโอนทรัพย์สินที่ขัดต่อวัตถุประสงค์สาธารณกุศล) นายทะเบียนสามารถสั่งให้มูลนิธิแก้ไขข้อบังคับ หรือพิจารณาสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้.

การที่นายบอยออกมาประกาศว่าจะ "เปลี่ยนแปลงข้อบังคับ" เพื่อเปลี่ยนผู้รับโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ ควรเป็นสัญญาณที่นายทะเบียนควรใช้ในการสั่งตรวจสอบและทบทวนข้อบังคับเดิมทันที ว่าการระบุชื่อ "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" ซึ่งมีนักการเมืองบริหารนั้น ชอบด้วยเจตนารมณ์ของ ป.พ.พ. มาตรา 110 ตั้งแต่ต้นหรือไม่ .

6.3 แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริจาคที่โอนเงินไปแล้ว

ประชาชนที่รู้สึกว่าตนถูกปกปิดข้อเท็จจริงและหลงผิดในการบริจาค มีช่องทางในการดำเนินการทางกฎหมาย ดังสรุปในตารางวิเคราะห์ด้านล่าง:

ตารางที่ 1: ช่องทางการดำเนินคดีและข้อเรียกร้องสำหรับผู้บริจาคที่หลงผิด

ช่องทางกฎหมายฐานกฎหมาย/หลักการผู้รับผิดชอบที่ถูกดำเนินการวัตถุประสงค์หลักผลที่คาดหวัง
การฟ้องร้องทางอาญาป.อ. มาตรา 343 (ฉ้อโกงประชาชน)นายบอย และ/หรือ คณะกรรมการที่รู้เห็นให้รัฐลงโทษผู้กระทำความผิด

คดีไม่สามารถยอมความได้ ต้องพิสูจน์ว่าการปกปิดข้อเท็จจริงเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อโอนเงิน

การฟ้องร้องทางแพ่งป.พ.พ. ม. 157 (สำคัญผิด) และ ม. 176 (การบอกล้าง)มูลนิธิ (นิติบุคคล)เรียกเงินบริจาคคืน หรือเรียกค่าเสียหายชดใช้แทนมีสิทธิบอกล้างได้ แต่การคืนเงินอาจถูกโต้แย้งว่าพ้นวิสัยหากเงินถูกใช้ช่วยคนไปแล้วจริง
ยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนการดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์/ไม่โปร่งใสนายทะเบียนมูลนิธิ (กรมการปกครอง)ตรวจสอบธรรมาภิบาลและการใช้เงิน/ข้อบังคับ

นายทะเบียนอาจสั่งให้มูลนิธิแก้ไขข้อบังคับ หรือเพิกถอนการจดทะเบียน 

การดำเนินการทางอาญาจะมุ่งเน้นที่การพิสูจน์เจตนาทุจริตในการปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์สิน ขณะที่การดำเนินการทางแพ่งจะมุ่งเน้นไปที่การบอกล้างความผูกพันตามสัญญาบริจาคที่เกิดจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค ซึ่งทั้งสองแนวทางสามารถดำเนินการควบคู่กันไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณชนได้.

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend


โพสต์แนะนำ

ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา

ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ​รายง...