วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ความผิดต่อเสรีภาพ หน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

      ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ    

      ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขัง หรือปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวังโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 มาตรา 297 หรือมาตรา 298 นั้น  

      องค์ประกอบมีดังนี้ 

       1.ผู้ใด

       2.หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

       3.โดยเจตนา(องค์ประกอบภายใน)

       ข้อที่จะนำมาพิจารณาก็คือองค์ประกอบข้อสอง คือ การหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดๆให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย การกระทำตามมาตรานี้ย่อมอาจเป็นการกระทำโดยเคลื่อนไหว หรือเป็นการงดเว้นเคลื่อนไหวร่างกายตามมาตรา 59 วรรคสุดท้าย ก็ได้ปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปก็คือคำว่า "หน่วงเหนี่ยว"หรือคำว่า"กักขัง"หมายความว่าอย่างไร คำว่า“ หน่วงเหนี่ยว"หมายความว่าทำให้บุคคลต้องอยู่ตรง ณ ที่นั้นไม่ให้ไปยังจุดอื่นหรือพูดง่าย ๆ คือตั้งตัวเขาไว้ตรง ณ ที่นั้นยกตัวอย่างเช่น ก. ล่ามโซ่ ๆ ไว้กับเสาย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายไปยังที่อื่นส่วนคำว่า“ กักขัง” หมายถึงการบังคับให้บุคคลอยู่ในที่จำกัด เช่นการขังไว้ในห้องน้ำอย่างไรก็ตามบางกรณีเป็นได้ทั้งสองอย่างยกตัวอย่าง เช่นการจับขังไว้ในห้องน้ำก็ย่อมไปที่อื่นไม่ได้เป็นหน่วงเหนียวและในขณะเดียวกันก็เป็นการบังคับให้อยู่ในที่ จำกัด ก็เป็นการกักขังอยู่ในตัว ฉุดหญิงลงจากรถยนต์ที่นั่งมาด้วยกันดึงเข้าไปในโรงเรียนหน่วงเหนี่ยวไว้ในโรงเรียนไม่มีเสรีภาพจะไปไหนดังที่ต้องการได้เป็นการหน่วงเหนียวหรือถูกขังให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายฎีกาที่ ๒๕๖๐/๒๕๑๗ หรือหญิงหนีลงไปในบ่อไม่กล้าขึ้นจากน้ำเพราะเกรงจำเลยจะมาทำร้าย (ฎีกาที่ ๑๕๑๔/๒๕๓๒) การจับโดยไม่มีหมายจับ (ฎีกาที่ ๑๐๘๙/๒๕๑๒) หรือจำเลยอุ้มผู้เสียหายขึ้นไปบนรถ (ฎีกาที่ ๙๘๕/๒๕๔๖) การฉุดขึ้นรถยนต์ก็เป็นการหน่วงเหนี่ยว (ฎีกาที่ ๒๓๙/๒๕๔๗) สถานที่กักขังอาจจะเป็นห้องหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่งก็ได้เช่นในรถในเรือหรือบนเครื่องบินมีนักกฎหมายบางท่านเห็นถึงขนาดว่าการ จำกัด ไม่ให้ออกไปจากท้องที่เช่นอำเภอหรือจังหวัดก็เป็นกักขังตามมาตรา ๓๑๐ นี้ได้ตามมาตรา ๓๑๐ ในส่วนของการกระทำนอกจากจะมีเรื่องการหน่วงเหนี่ยวหรือการกักขังซึ่งเห็นอยู่ในตัวว่าทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายมาตรา ๓๑๐ ยังบัญญัติต่อไปว่าหรือการกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเพราะฉะนั้นการกระทำตามมาตรา ๓๑๐ นี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็น แต่เฉพาะเรื่องหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังยกตัวอย่างเช่นบอกก. ว่าเดี๋ยวครูกำลังจะมาหาโดยมีเจตนาที่จะรั้งไม่ให้ ก. ไปไหนเพื่อให้หลงเชื่อ ซึ่งเป็นความเท็จเช่นนี้ก็เป็นการหน่วงเหนียว ก ไว้โดยการใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำด้วยประการอื่นใดปัญหาว่าปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามมาตรา ๓๑๐ มีความหมายกว้างแคบแค่ไหนเพราะคำว่าเสรีภาพในร่างกายมีความหมายกว้างมากอาจจะหมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายทุก ๆ อย่างหรืออาจจะหมายถึงเสรีภาพในการขีดในการเขียนในการคิดท่านศาสตราจารย์จิตติติงศภัทิย์และนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่าคำว่า“ เสรีภาพ "ตามมาตรา ๓๐๐ นี้จะต้องตีความว่าเป็นเสรีภาพในร่างกายในทำนองเดียวกับการหน่วงเหนี่ยวกักขังคือเป็นการ จำกัด การเคลื่อนไหวอวัยวะของร่างกายลงอยู่ในขอบเขต จำกัด เช่นถูกใส่กุญแจมือ (ฎีกาที่ ๑๕.๓๐ / ๒๕๔๒ และฎีกาที่ ๗๔๔/๒๕๐๑) หรือเช่นใส่กลอนขังไว้ในห้องนอน (ฎีกาที่ ๓๖๖๘/๒๕๕๕) ดังได้กล่าวแล้วว่าการกระทำตามมาตรา ๓๑๐ รวมถึงการงดเว้นการซึ่งจะต้องกระทำการเพื่อป้องกันผลตามมาตรา ๕๙ วรรคสุดท้ายด้วยและถ้าพิจารณาตามมาตรา ๓๑๐ จะเห็นได้ว่าวิธีการหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นกระทำด้วยประการใด ๆ ก็ได้ไม่ จำกัด ซึ่งต่างไปจากมาตรา ๓๐๙ ที่ส่วนของการกระทำคือทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายอื่น ๆ หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายดังนั้นมาตรา ๓๐๙ เป็นการ จำกัด วิธีในการกระทำ แต่ไม่จํากัดเสรีภาพที่เสียไปว่าจะเป็นเสรีภาพประเภทไหน ส่วนมาตรา ๓๐๐ ไม่จำกัด วิธีในการกระทำ แต่มุ่งหมายจำกัดเสรีภาพที่เสียไปเฉพาะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกาย คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒๔๓/๒๕๔๒ จำเลยไม่มีหมายจับจับผู้เสียหายไม่แจ้งข้อหาไม่ส่งมอบผู้เสียหายให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกลับนำไปควบคุมที่ด่านตรวจผิดมาตรา ๑๕๒ และ ๓๑๐ และดูฎีกาที่ ๑๒๐๘/๒๕๐๘ ฎีกาที่ ๑๐๗๗/๒๕๐๕ ฎีกาที่ ๕๗/๒๕๑๗) ในคดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องรุนแรงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษถ้าผู้กระทำกระทำโดยมีอำนาจตามกฎหมายก็ไม่เป็นความผิดเช่นเจ้าพนักงานตำรวจจับผู้ต้องหาซึ่งกระทำความผิดฎีกาที่ ๔๓๗/๒๕๕๕ ซึ่จับไว้เพราะจำเลยเมาสุราอาละวาดหรือในกรณีเช่นเด็กอายุ 6 ขวบเข้าไปลักมะม่วงในสวนเจ้าของสวนจับเด็กมัดมือคร่อมไว้กับต้นมะม่วงประมาณ 10 นาทีแล้วมารดาของเด็กมารับตัวเด็กไปศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของเด็กเป็นความผิด แต่กฎหมายไม่เอาโทษเจ้าของสวนมีอำนาจจับเพื่อระงับเหตุการณ์อันจะพึงมีไม่เป็นความผิด (ฎีกาที่ ๑๔๖/๒๔๗๒) ป. ไล่ทำร้าย ล ไปถึงหน้าบันไดเรือน ล ตี ป เป็นการป้องกันตัวสมควรแก่เหตุและการที่ ล จับ ป มัดเอาไว้เพื่อส่งเจ้าหน้าที่ไม่มีความผิด (ฎีกาที่ ๗๓๗/๒๔๗๓) ไล่ทําร้าย

     ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าราษฎรมีอำนาจจับผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๗๘ หรืออย่างกรณีเช่นนายประกันมีอำนาจจับบุคคลที่ตนประกันไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๑๗ (ฎีกาที่ ๑๖๒/๒๕๕๖) หรือในกรณีที่ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจในการสั่งถอนประกันทำให้จำเลยต้องถูกคุมขังก็ไม่เป็นความผิด (ฎีกาที่ ๔๖๖/๒๕๑๘ ฎีกาที่ ๕๔/๒๕๓๐ หรือศาลสั่งตามอำนาจให้รอฟังคำสั่งฎีกาที่ ๒๕๘/๒๕๒๔) แต่การจับคนโดยไม่มีมูลหรือไม่มีอำนาจเป็นการแกล้งจับนอกจากจะเป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ นี้แล้วยังอาจจะเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ได้อีกด้วย (ฎีกาที่ ๒๕๕๔ ๒๕๒๐ เป็นต้น) มีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งว่าการกระทำให้ปราศจากเสรีภาพกฎหมายมุ่งประสงค์ถึงตัวบุคคลดังนั้นถ้าผู้ถูกกระทำยังอาจเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เช่นนี้ฎีกาวินิจฉัยว่าไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๑๐ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๐๔/๒๕๑๘ ถนนซอยในที่ดินเอกชนซึ่งแบ่งให้เช่าปลูกบ้านประชาชนชอบที่จะเข้าออกติดต่อกันได้เป็นสาธารณะการเอารถยนต์ขวางกันไม่ให้รถข้างในออกจากซอยได้นั้นไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ แต่การที่ไม่ยอมถอยรถให้รถข้างในออกไปได้เป็นการข่มเหงตามมาตรา ๒๙๗ ล่ามโซ่ใส่กุญแจประตูใหญ่ทำให้โจทก์ออกจากบริเวณบ้านไม่ได้โจทก์ต้องปืนกำแพงรั้วกระโดดลงมาได้รับบาดเจ็บเป็นความผิดตามมาตรา ๓๑๐ วรรคแรก (ฎีกาที่ ๔๒๘/๒๕๒๐) ใส่กุญแจประตูตึกแถวผู้เช่าเข้าห้องไม่ได้ไม่ผิด ๓๑๐ (ฎีกาที่ ๒๑ ๒๕๓๑)  ก

      จากฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่าบุคคลที่อยู่ในรถสามารถเดินลงจากรถไปยัง ณ ที่อื่น ๆ ได้หรือเดินจากห้องเช่าไปยังที่อื่นได้ตามปกติศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพทำนองเดียวกันกับการขับรถยนต์ปาดหน้าทำให้ต้องหยุดรถไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ (ฎีกาที่ ๑๗๑๗/๒๕๒๗) 

      องค์ประกอบข้อสุดท้ายคือองค์ประกอบภายในส่วนของจิตใจ ได้แก่ เจตนาตามมาตรา ๕๙ คือมีเจตนาที่จะหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการอื่นใดทำให้บุคคลปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

       คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๐๒๕/๒๕๒๑ จำเลยกับพวกควบคุมตัวผู้เสียหายกับพวกเป็นประกันเพื่อการสะดวกแก่การพาทรัพย์ไปอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๙ ๓๑๐ อีกกรรมหนึ่งต่างหาก (การควบคุมเป็นการกระทำต่อเสรีภาพไม่ใช่การกระทำต่อเนื้อตัวจิตใจจึงมิใช่การใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานชิงทรัพย์เว้นแต่การหน่วงเหนี่ยวเป็นการประทุษร้ายอยู่ในตัวด้วย) 

       คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๔๒/๒๕๕๙ บ. กับอ. เคยอยู่กินกันอย่างสามีภริยากันได้ ๓ เดือน อ. จึงออกจากบ้านไปบ. สามีพบ อ. ชวน อ. กลับบ้าน อ. ไม่ยอม บ. จึงฉุด อ. เพื่อให้ไปอยู่กินด้วยกันตามเดิมถึงแม้ อ. จะมิใช่ภริยาโดยถูกต้องตามกฎหมายเพราะมิได้จดทะเบียน บ. ก็ไม่มีความผิด (ดูฎีกาที่ ๔๓๐/๒๕๓๒) ซึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อว่าตนมีอำนาจที่จะกระทำได้ (ฎีกาที่ ๑๒๒๑/๒๔๗๙) กรณีเหล่านี้เป็นกรณีที่อ้างว่าสำคัญ

       





























   


วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กองมรดกตกทอดเมื่อใด และตกทอดแก่ผู้ใดบ้าง

    กฎหมายที่จะนำมาปรับใช้ในเรื่อง มรดก คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6

    ตาม มาตรา 1599 บัญญัติว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น     

    เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท        

    คำว่าตายหมายถึงการตายโดยธรรมชาติและการตายโดยศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1602 วรรคหนึ่ง 

    กองมรดกจะตกทอดแก่ผู้ใดบ้าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1599 วรรคหนึ่งใช้คำว่าทายาทซึ่งเป็นคำกลางๆแต่ตามมาตรา 1603 ได้แบ่งทายาทออกเป็น 2 ประเภทคือทายาทที่เรียกว่าทายาทโดยธรรมซึ่งหมายถึงทายาทตามมาตรา 1629 ซึ่งเป็นมาตราหลักมาตรา 1607,1615 วรรค 2, 1639 ถึงมาตรา 1645 และอีกประเภท คือ ทายาทโดยพินัยกรรม ซึ่งทรัพย์สินใดถ้าเจ้าของทรัพย์สินทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์ของตนไว้ตั้งแต่ก่อนตายแล้ว ทรัพย์สินนั้นจะไม่ตกทอด ทายาทโดยธรรม

    ทายาทมี 2 ประเภท คือ 1 ทายาทโดยธรรม  2 ผู้รับพินัยกรรม

    ดังนั้นจะต้องพิจารณาก่อนว่า ก่อนตายเจ้ามรดกผู้ตายได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองไว้หรือไม่หากทรัพย์สินนั้นเจ้ามรดกมิได้มีการทำพินัยกรรมไว้หรือทำพินัยกรรมไว้แต่พินัยกรรมใช้บังคับไม่ได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นสิทธิแก่ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย

    ทายาทโดยธรรมเกิดขึ้นตามผลของกฎหมายจะมีส่วนแบ่งในการรับมรดกตามมาตรา 1629 ถึงมาตรา 1638 

    ตามมาตรา 1629 บัญญัติว่า ทายาทโดยธรรม 6 ลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ 

      1.ผู้สืบสันดาน

      2.บิดามารดา

      3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

      4.พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน

      5.ปู่ ย่า ตา ยาย 

      6.ลุง ป้า น้า อา  

    มาตรา 1630 บัญญัติว่า ตราบใดที่มีทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายแล้วแต่กรณีในลำดับหนึ่งๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 ทายาทผู้ที่อยู่ในลำดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลย 

    แต่ความในวรรคก่อนนี้มิให้ใช้บังคับในกรณีเฉพาะที่มีผู้สืบสันดานคนใดยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่กันแล้วแต่กรณีและมีบิดามารดายังมีชีวิตที่อยู่ในกรณีเช่นนั้นให้บิดามารดาได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร

    คำว่าผู้สืบสันดาน ตามมาตรา 1629 วรรค 1 (1) หมายถึงบุตรของเจ้ามรดกเท่านั้น 

    ส่วนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ตาม มาตรา 1629 วรรคหนึ่ง (3) หรือ ร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ตาม (4) ถือตามความเป็นจริง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2545, 1397/2551)

    ถ้าเจ้ามรดกเป็นมารดาผู้สืบสันดานคือบุตรไม่ว่าบิดามารดาจะได้จดทะเบียนสมรสกันหรือไม่

    ถ้าเจ้ามรดกเป็นบิดาผู้สืบสันดานได้แก่บุตรที่เกิดแต่บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1536 ถึงมาตรา 1538 บุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่บิดารับรองแล้วหรือบุตรบุญธรรมตามมาตรา 1627 บุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่ได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรตามมาตรา 1547 ซึ่งบุตรที่เกิดจากบิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันแม้ในภายหลังศาลจะมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ตามก็เป็นผู้สืบสันดาน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2494)

     ดังนั้นเมื่อมีบุคคลใดตาย และมีทรัพย์สิน จะต้องพิจารณาก่อนว่า ทรัพย์สินนั้นผู้ตายเคยทำพินัยกรรมไว้หรือไม่ ถ้ามีการทำพินัยกรรมไว้สิทธิจะตกแก่ผู้รับพินัยกรรมตามที่ผู้ตายได้แสดงเจตนาไว้ก่อนตาย ถ้าไม่มีพินัยกรรม ทรัพย์สินนั้นจะตกแก่ทายาทโดยธรรม ตามลำดับ จาก 1 ถึง 6 

     สิทธิระหว่างทายาทในลำดับต่างๆ ทายาทในลำดับต้นจะตัดทายาทลำดับถัดไป เช่น ถ้าทายาทลำดับที่ 1 มีชีวิตอยู่ หรือตายแล้วแต่มีการรับมรดกแทนที่ ทายาทโดยธรรมที่อยู่ในลำดับ 2 ถึง 6 จะไม่มีสิทธิรับมรดกเลย 

     ข้อยกเว้นการตัดลำดับทายาท ตามมาตรา 1629 คือ ถ้าผู้ตายมีทายาทในลำดับที่ 1 คือผู้สืบสันดานหรือมีการรับมรดกแทนที่ และมีบิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ บิดามารดามีสิทธิรับมรดกด้วยโดยได้ส่วนแบ่งเสมือนเป็นบุตรของผู้ตาย

     การรับมรดกแทนที่ของทายาทโดยธรรมในลำดับที่ 1 ตามมาตรา 1629 เช่น ทายาทลำดับที่ 1 ตายก่อนเจ้ามรดก แต่มีบุตร บุตรของทายาทลำดับที่ 1 มีสิทธิรับมรดกแทนที่ต่อไปได้ และให้มีการรับมรดกแทนที่เช่นนี้ต่อไปจนหมดสาย พูดง่ายๆ คือ ลูก ของเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดก ส่วน หลาน เหลน ลื่อ ฯลฯ ของเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดกแทนที่ 

     ส่วนกรณีทายาทตาม มาตรา 1629 ลำดับที่ 3 ,4, 6 คือพี่น้องของเจ้ามรดก หรือ ลุง ป้า น้า อา ถ้าตายก่อนเจ้ามรดก ลูกก็รับมรดกแทนที่ได้ ถ้าลูกตายอีก หลานก็รับมรดกแทนที่ ถ้าหลานตายอีก เหลนก็รับมรดกแทนที่ ถ้าเหลนตายอีก ลื่อก็รับมรดกแทนที่ ฯลฯ 

     ส่วนกรณีทายาทตาม มาตรา 1629 ลำดับที่ 2 คือบิดามารดา และ ลำดับที่ 5 คือ ปู่ ย่า ตา ยาย กฎหมายห้ามมิให้ มีการรับมรดกแทนที่กัน แต่ให้แบ่งมรดกให้แก่ทายาทในลำดับเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ คือ ถ้า เจ้ามรดกตาย บิดาของเจ้ามรดกก็ตาย สิทธิจะตกแก่มารดาเท่านั้น จะไม่ตกแก่พี่น้องของเจ้ามรดกซึ่งเป็นลูกของบิดา ถ้าปู่ของเจ้ามรดกตาย สิทธิก็จะตกแก่ย่า ตา ยาย เท่านั้น จะไม่ตกแก่ลูกของปู่ คือ บิดา เพราะ ปู่จะมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกก็ต่อเมื่อ บิดามารดาของเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทในลำดับก่อนตายหมดแล้ว หากให้มีการรับมรดกแทนที่กัน ก็จะทำให้วนไปวนมา งง

     ส่วนคู่สมรสของเจ้ามรดกที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้องแบ่งสินสมรส ออกไปก่อน ในทางปฏิบัติ ก่อนจะแบ่งมรดก ต้อง แบ่งสินสมรส ออกไปก่อน ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งจะเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก ซึ่งทายาทมีสิทธินำส่วนนี้มาแบ่งกันได้ และคู่สมรส ก็ถือว่า เป็นทายาท มีสิทธิรับมรดกในทรัพย์สินซึ่งเป็นส่วนของเจ้ามรดกได้อีกในฐานะทายาท

     จบเพียงแค่นี้ ติดตามได้ในบทความต่อไป

           Add Friend   

                                   

                                  

      

      

     

              

    





   

  

       

    

   






   

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กองมรดก มีอะไรบ้าง

           ความหมายของคำว่า กองมรดก จะต้องทำความเข้าใจให้ได้เพราะหากเป็น กองมรดก แล้วต้องดำเนินการตามมาตรา 1599 ถึงมาตรา 1755 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

           ความหมายของ กองมรดก อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 โดยต้องเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิของเจ้ามรดกซึ่งเจ้ามรดกมีอยู่แล้วในเวลาที่เจ้ามรดกตาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2513,2604/2516,17/2524)

           คำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์มรดกที่ควรจดจำมีดังนี้

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2401/ 2515 ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่าแม้เงินพิพาทจะไม่ใช่ทรัพย์มรดกแต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 6 ลักษณะมรดกเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในอันที่จะใช้บังคับได้ศาลฎีกาจึงมีคำวินิจฉัยว่าเงินพิพาทเสมือนหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกจึงตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 ถึงมาตรา 1638 ต่อไป 

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 370 / 2506 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678 - 680/2535 และ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8485/2544 วินิจฉัยเป็นแนวเดียวกันว่าดอกผลของทรัพย์มรดกไม่ใช่ทรัพย์มรดกโดยเฉพาะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678-680/2535 ได้วินิจฉัยไว้ด้วยว่าเมื่อทายาทปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์ซึ่งเป็นดอกผลของทรัพย์มรดกจึงไม่ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2542 วินิจฉัยว่า เงินประกันชีวิตตามมาตรา 897 มิใช่กองมรดก โดยวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดบ้างเป็นกองมรดก

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2508 คำพิพากษานี้วินิจฉัยว่าการทำพินัยกรรมยกศพ เป็นการต่างๆที่ผู้ตายพึงกระทำได้ โดยมิได้วินิจฉัยโดยตรงว่าศพเป็นทรัพย์สินหรือไม่

           เมื่อทราบความหมายของกองมรดกแล้วต่อไปก็จะต้องรู้ว่ากองมรดกจะตกทอดเมื่อใด โดยผู้เขียนจะนำเสนอต่อไป



              Add Friend   

                                   

                                  

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2564

เจ้าหนี้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ยืม มีผลอย่างไร

กรณีเจ้าหนี้มีการแก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ยืม

              บางครั้งฝ่ายเจ้าหนี้ได้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ยืมก่อนแล้วจึงนำมาฟ้องปัญหาว่าผู้กู้จะต้องรับผิดหรือไม่เพียงใดแยกเป็น 5 กรณี 

              5.1 แก้ไขจำนวนเงินในขณะที่เขียนสัญญากู้  กรณีนี้อาจจะเกิดขึ้นเพราะเขียนผิด เช่น กู้กันเพียง 5,000 บาท แต่เขียนผิดเป็น 6,000 บาทจึงแก้ไขให้เป็น 5,000 บาท ตามที่กู้จริงหรือเขียนสัญญากู้ระบุจำนวน 10,000 บาท ขณะกำลังเขียนสัญญาผู้กู้ขอกู้เพิ่มเป็น 20,000 บาท ผู้ให้กู้ตกลงจึงแก้จำนวนเงินเป็น 20,000 บาทตามที่กู้จริงก่อนที่ ผู้กู้จะลงชื่อในสัญญากู้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในกรณีที่มีการแก้ไขตัวเลขจำนวนเงินในขณะเขียนสัญญากู้ แม้ผู้กู้จะไม่ได้ลงชื่อกำกับก็ใช้ได้เพราะถือว่าเป็นเจตนากู้ยืมกันครั้งเดียวตามจำนวนที่แก้ไขแล้วลงชื่อไว้ท้ายสัญญาแห่งเดียวก็ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมโดยสมบูรณ์ (ฎีกาที่ 1154/2511) 

             5.2 แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้เดิม เมื่อมีการกู้ยืมครั้งใหม่หลังจากทำสัญญากู้จนเสร็จสมบูรณ์แล้วต่อมา ผู้กู้ขอกู้เพิ่ม คู่กรณีไม่ทำสัญญาฉบับใหม่ แต่ใช้วิธีเปลี่ยนจำนวนเงินกู้ในสัญญาฉบับเก่าเช่นเดิมกู้ยืมเงิน 10,000 บาท ทำหนังสือสัญญากู้กันไว้ 10,000 บาท เมื่อครบกำหนดเวลาชำระหนี้แล้วผู้กู้ขอกู้เพิ่มอีก 10,000 บาทจึงเอาสัญญากู้ฉบับเดิมมาขีดฆ่าจำนวนเงินเดิมแล้วเขียนใหม่เป็น 20,000 บาท โดยผู้กู้ไม่ได้ลงชื่อกำกับ ต่อมาเจ้าหนี้ฟ้องให้บังคับชำระหนี้เงินกู้ 20,000 บาทตามสัญญากู้ที่มีการแก้ไขดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่าถือว่าการกู้ครั้งใหม่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือผู้กู้รับผิดเฉพาะ การกู้ครั้งแรกเท่านั้น (ฎีกาที่ 326 /2507)

             5.3 แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ให้สูงขึ้นโดยผู้กู้ไม่ยินยอม   เช่นกู้ยืมเงินเพียง 5,000 บาท ต่อมาผู้กู้ไม่ชำระหนี้ผู้ให้กู้จึงเติม 0 อีก 1 ตัวเป็น 50,000 บาท หรือเติม 1 เป็น 15,000 บาท แล้วนำสัญญานั้นมาฟ้องศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่ต้องผิดตามสัญญากู้ปลอม แต่ให้จำเลยผู้กู้รับผิดใช้เงิน 5,000 บาท ตามที่กู้จริง เพราะก่อนฟ้องการกู้เงิน 5,000 บาท มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ (ฎีกาที่ 407/2542, 1149/2552) 

             5.4 สัญญากู้ไม่ได้กรอกจำนวนเงินไว้ มี 2 กรณี

                   5.4.1 ผู้ให้กู้กรอกจำนวนเงินสูงกว่าที่กู้จริง บางครั้งผู้กู้เพียงแต่ลงชื่อเป็นผู้กู้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ซึ่งไม่มีการกรอกจำนวนเงิน เมื่อผู้ให้กู้จะฟ้องคดีจึงกรอกข้อความระบุจำนวนเงินที่กู้สูงกว่าที่กู้จริงเช่นกู้ยืมเงิน 5,000 บาท โดยให้ผู้กู้ลงชื่อในช่องผู้กู้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ ต่อมาผู้กู้ไม่ชำระหนี้ผู้ให้กู้จึงกรอกจำนวนเงินในสัญญากู้เป็น 50,000 บาทหรือ 15,000 บาท ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอมพิพากษายกฟ้อง โดยผู้กู้ไม่ต้องรับผิดเลย (ฎีกาที่ 2518/2547, 7541/2548, 759/2557) แม้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันจะให้การยอมรับว่ากู้จริง 5,000 บาทก็ตาม (ฎีกาที่ 513/2537 และ 1539/2548) จะเห็นได้ว่าผลแตกต่างกับกรณีตามข้อ 5.3 ที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ชำระหนี้ตามสัญญาฉบับก่อนมีการแก้ไข เพราะในกรณีตามข้อนี้ไม่เคยมีการกรอกจำนวนเงินที่ถูกต้องในสัญญากู้ฉบับที่ถูกต้องเลย 

                   5.4.2 ผู้ให้กู้กรอกจำนวนเงินตามที่กู้จริงถ้าทำสัญญากู้กันโดยผู้กู้ลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความต่อมาเมื่อผู้กู้ไม่ชำระหนี้ผู้ให้กู้จึงกรอกข้อความและจำนวนเงินตามความเป็นจริงที่ตกลงกันดังนี้สัญญากู้ดังกล่าวใช้บังคับได้ (ฎีกาที่ 7428/2543, 5685/2548 และ 1483/2551)

             5.5 กรณีที่กู้ยืมเพียงครั้งเดียวแต่ผู้กู้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ ๒ ฉบับ

                  คำพิพากษาฎีกาที่ 730/2508 จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ 7,000 บาท แต่ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ 2 ฉบับ ฉบับแรกระบุจำนวนเงินกู้ 7,000 บาท ฉบับที่สอง 14,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโดยตกลงกันว่าถ้าไม่ชำระหนี้ให้โจทก์นำสัญญากู้ฉบับที่สองมาฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำสัญญากู้ฉบับที่สองมาฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นได้ว่าประโยชน์ที่ผู้ให้กู้ได้รับมากเกินสมควร เป็นการที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ผู้กู้คงต้องรับผิดเฉพาะเงิน 7,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ 14,000 บาท มิได้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ 7,000 บาท จึงหาต้องรับผิดด้วยไม่ 

            "ทำสัญญากู้ยืมเงินอย่างไร ไม่เสียเปรียบลูกหนี้"


                            Add Friend   

                                                

                                               


วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2564

ทวงหนี้ไม่เป็นธรรม จูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คโดยรู้อยู่ว่า ลูกหนี้ไม่มีเงิน คุก 1 ปี

                  ทวงหนี้ไม่เป็นธรรม จูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คโดยรู้อยู่ว่า ลูกหนี้ไม่มีเงิน อาจติด คุก 1 ปี

                  เจ้าหนี้ตามทวงหนี้ ลูกหนี้บอกแล้วว่า ยังไม่มีเงิน รอก่อน นะ ไม่ได้หนี ขอผ่อนเวลา ขอผ่อนชำระได้ไหม เจ้าหนี้ ไม่ยอม รู้ว่าลูกหนี้ไม่มีเงิน แต่จูงใจลูกหนี้ให้ออกเช็คให้ เพื่อจะนำเช็คไปขึ้นเงิน ถ้าเช็คเด้ง จะได้เป็นคดีอาญา ลูกหนี้ก็ออกเช็ค แบบนี้ เรียกว่า "เจ้าหนี้ทวงหนี้ไม่เป็นธรรม" ซึ่งถ้าเจ้าหนี้ใช้สิทธิฟ้องตามเช็ค ศาลต้องยกฟ้อง มีตัวอย่างฎีกา คือ 

                 คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6581-6582/2556 จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายรู้ดีว่าขณะที่ออกเช็คนั้น จำเลยไม่อาจชำระเงินตามเช็คได้ แต่จำเลยอยู่ในภาวะที่ต้องออกเช็คเพื่อเป็นหลักประกันแก่ผู้เสียหายในเวลาที่ผู้เสียหายรู้ว่าจำเลยยังไม่มีเงินที่จะมาชำระหนี้แก่ผู้เสียหาย จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีเจตนาใช้เช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้

                 นอกจากศาลยกฟ้องแล้ว เจ้าหนี้ อาจถูกดำเนินคดีอาญา ฐานความผิด ตาม พระราชบัญญัติทวงถามหนี้ พ.ศ.๒๕๕๘ มาตรา ๑๓ และ มาตรา ๓๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ 

                 "ทวงหนี้อย่างไร ไม่ติดคุก ติดต่อ ทนายความ"


                            Add Friend   

                                                

                                               

                                                      

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

  ยืมใช้สิ้นเปลือง 
"เพื่อนยืมเงินแล้วไม่คืน"

               ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๐ บัญญัติว่า อันว่ายืมใช้สิ้นเปลือง นั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม  และผู้ยืมตกลงว่า จะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกัน ให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

               สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม

               ลักษณะสำคัญ

               ๑.เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน  เมื่อเกิดเป็นสัญญาบริบูรณ์แล้ว ผู้ยืมเท่านั้น มีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่ยืม ผู้ให้ยืมไม่มีหนี้ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญายืม การส่งมอบทรัพย์ที่ยืมให้แก่ผู้ยืมเป็นการกระทำที่ทำให้สัญญายืมบริบูรณ์ไม่ใช่หนี้ตามสัญญา แม้เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทนแต่สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอาจเป็นสัญญามีค่าตอบแทนได้ เช่น ให้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ย

               ๒. เป็นสัญญาที่โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ยืม ดังนั้น ผู้ให้ยืมใช้สิ้นเปลืองต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้ยืม  กรณีเกิดความเสียหายหรือสูญหายแก่ทรัพย์สินที่ยืม ผู้ยืมจะต้องเป็นคนรับผลในความเสียหาย ซึ่งเป็นข้อแตกต่างจากสัญญายืมใช้คงรูป

               ๓.วัตถุแห่งหนี้ตามสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองต้องเป็นทรัพย์ชนิดใช้ไปสิ้นไป เช่น ยืมข้าวสาร ยืมปูน ยืมน้ำมัน ยืมเงิน โดยต้องดูที่เจตนาของคู่สัญญา ว่า เจตนาจะยืมไปใช้ให้หมดไป แล้ว เมื่อถึงกำหนดคืน จะให้คืนอันใหม่แทน หรือไม่ 

               ๔.เป็นสัญญาที่บริบูรณ์เมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม  การไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมให้แก่ผู้ยืม นั้น ไม่ได้ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ แต่ไม่สามารถใช้บังคับได้ สิทธิหน้าที่ระหว่างคู่สัญญายังไม่เกิด เมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืมแล้ว สัญญายืมจึงสมบูรณ์ 

               สัญญาจะให้ยืม  มีได้หรือไม่  มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ๒๙๒๓/๒๕๒๕ จำเลยจะจัดสรรที่ดินและปลูกบ้านขายจึงทำสัญญากับบริษัทโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเข้าควบคุมอนุมัติโครงการและควบคุมการก่อสร้างโดยจำเลยจะต้องจ่ายค่าควบคุมงานปลูกบ้านหลังละ ๗๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ และโจทก์มีหน้าที่ต้องให้จำเลย และผู้ซื้อบ้านพร้อมที่ดินจากจำเลยกู้ร้อยละ ๗๕ ของราคาที่ดินและบ้าน ต่อมามีการผิดสัญญา ่โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ให้กู้ยืมไปแล้วคืน จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์รับเงินค่าจ้างควบคุมงานไปแล้วไม่ยอมให้จำเลย และลูกค้ากู้เงิน โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย ่โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ตามกฎหมายไม่มีสัญญาจะให้ยืม โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนกันเป็นพิเศษ ยิ่งกว่าสัญญากู้ยืมธรรมดา เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมให้จำเลยและผู้ซื้อที่ดินกู้เงินโจทก์ตามข้อตกลง โจทก์จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย 

                ศาลฎีกาไม่ได้วินิจฉัย ว่า มีสัญญาจะให้ยืมได้หรือไม่  แต่ ถ้ามีข้อตกลงที่คู่สัญญาตกลงกัน ในขณะเข้าทำสัญญา ในลักษณะต่างตอบแทนกันเป็นพิเศษ ก็สามารถบังคับกันได้ แม้สัญญากู้ยืมไม่สมบูรณ์ ตามแนวฎีกา การฟ้องแย้งของจำเลย เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหาย ไม่ได้ฟ้องแย้งให้ส่งมอบเงินที่ตกลงกันว่าจะให้จำเลยกู้ยืม จึงยังเป็นปัญหาว่า สัญญาจะให้ยืมสามารถบังคับได้หรือไม่

Add Friend