วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา


ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา



​รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อวิเคราะห์และให้คำแนะนำเชิงกลยุทธ์แก่ผู้บริหารฝ่ายกฎหมาย/ฝ่ายเร่งรัดหนี้สินของสถาบันการเงิน โดยเน้นการแยกแยะความแตกต่างระหว่างความรับผิดทางแพ่งและความผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อรถยนต์ผิดนัดและไม่ยอมคืนรถยนต์ที่ถูกบอกเลิกสัญญา การวิเคราะห์นี้อ้างอิงจากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ. มาตรา 352) และแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่สำคัญ

​I. หลักการพื้นฐานและสถานะทางกฎหมายของการเช่าซื้อรถยนต์

​๑.๑ คำนิยามและสาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ

​สัญญาเช่าซื้อเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 572 โดยมีสาระสำคัญคือ สัญญาเช่าที่เจ้าของทรัพย์สินให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว.

​สถานะทางกฎหมายของทรัพย์สินภายใต้สัญญาเช่าซื้อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณาความรับผิดทางอาญา การที่บริษัทไฟแนนซ์ (ผู้ให้เช่าซื้อ) นำรถยนต์ออกให้เช่าซื้อนั้น ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นตามมาตรา 572. ในระหว่างที่สัญญาเช่าซื้อยังคงมีผลใช้บังคับและผู้เช่าซื้อยังชำระเงินไม่ครบถ้วน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้ออย่างสมบูรณ์. ผู้เช่าซื้อจึงมีสถานะเป็นเพียงผู้ครอบครองทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมายตามเงื่อนไขของสัญญาเท่านั้น และมีอำนาจใช้สอยรถยนต์ดังกล่าว.

​๑.๒ การสิ้นสุดของสัญญาเช่าซื้อและการเกิดหน้าที่ต้องคืนทรัพย์

​การสิ้นสุดของสัญญาเช่าซื้อเกิดขึ้นได้หลายกรณี กรณีที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้เสียคือ การที่ผู้ให้เช่าซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเนื่องจากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ. ตามหลักกฎหมายแพ่ง ป.พ.พ. มาตรา 574 กำหนดให้เจ้าของทรัพย์สิน (ผู้ให้เช่าซื้อ) มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆ กัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ. อย่างไรก็ตาม ภายใต้ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561 ได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมเชิงคุ้มครองผู้บริโภค โดยทั่วไป การที่ผู้ให้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาได้นั้น ผู้เช่าซื้อจะต้องผิดนัดไม่ชำระค่างวดติดต่อกันถึงสามงวด และผู้ให้เช่าซื้อต้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่าซื้อชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดก่อน.

​เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้ออย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว สัญญาเช่าซื้อย่อมระงับสิ้นสุดลง. ผลทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดคือ ผู้เช่าซื้อจะสูญเสียสิทธิในการครอบครองรถยนต์ทันที และมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องส่งมอบรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทไฟแนนซ์คืนแก่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์.

​๑.๓ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ป.อ. มาตรา 352)

​ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เป็นความผิดทางอาญาต่อทรัพย์สิน มีองค์ประกอบสำคัญที่ต้องพิจารณาดังนี้ :

  1. ทรัพย์สินของผู้อื่น: รถยนต์ที่เช่าซื้อซึ่งกรรมสิทธิ์ยังเป็นของไฟแนนซ์.
  2. อยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด: ผู้เช่าซื้อครอบครองรถตามสัญญาเช่าซื้อโดยชอบ.

  1. เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม: การกระทำที่แสดงว่าผู้ครอบครองไม่ถือว่าทรัพย์นั้นเป็นของเจ้าของอีกต่อไป แต่เอาไปใช้ประโยชน์หรือตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอย่างชัดเจน.
  2. โดยทุจริต: เจตนาแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย.

​ข้อสังเกตทางกฎหมายอาญาคือ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์นี้เป็นความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 356. ผลของการเป็นคดีอันยอมความได้คือ ผู้เสียหายจะต้องร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้คือสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 96 ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ต้องพิจารณาในการดำเนินคดีต่อไป.

​II. การวิเคราะห์สถานการณ์ที่ ๑: การไม่คืนรถหลังบอกเลิกสัญญา แต่ก่อนการฟ้องคดีแพ่ง



​๒.๑ ปัญหาหลัก: การไม่คืนรถตามคำบอกเลิกสัญญา ถือเป็นการ "เบียดบังโดยทุจริต" หรือไม่?

​ประเด็นที่ผู้ให้เช่าซื้อต้องการทราบคือ การที่ผู้เช่าซื้อปฏิเสธที่จะส่งมอบรถยนต์คืนแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ภายหลังการบอกเลิกสัญญาแล้ว จะสามารถถือได้ว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์โดยทุจริตอันเป็นความผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์หรือไม่ การวิเคราะห์ในส่วนนี้เป็นจุดแบ่งที่สำคัญที่สุดระหว่างความรับผิดทางแพ่งและความรับผิดทางอาญา

​ตามหลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกา การผิดนัดชำระหนี้และการไม่คืนทรัพย์ตามการทวงถาม ไม่ได้เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์โดยอัตโนมัติ หากจะมีความผิดทางอาญา ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าผู้เช่าซื้อมี "เจตนาทุจริต" ในการเบียดบังทรัพย์นั้นไว้เพื่อตนเองหรือบุคคลที่สามอย่างชัดเจน ซึ่งต้องอาศัยพฤติการณ์ที่เกินกว่าการผิดสัญญาและเพิกเฉยต่อการส่งมอบคืน

​๒.๒ แนววินิจฉัย: เมื่อถือเป็นเพียง "การผิดสัญญาทางแพ่ง"

​โดยหลักการแล้ว การที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระและถูกบอกเลิกสัญญาอย่างถูกต้องตามมาตรา 574 แล้ว แต่ยังคงเพิกเฉยหรือไม่นำรถมาคืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อตามหน้าที่ที่เกิดขึ้นจากการสิ้นสุดของสัญญา หากไม่มีพฤติการณ์อื่นใดบ่งชี้ถึงการตัดกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อโดยเด็ดขาด ย่อมถือเป็นเพียงการ ผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น.

​ผลในทางแพ่งคือ ผู้เช่าซื้อมีความรับผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อตลอดเวลาที่ยังครอบครองทรัพย์พิพาทอยู่ (เช่น ค่าใช้ทรัพย์) และค่าขาดราคาที่เกิดขึ้นจากการที่ไฟแนนซ์ต้องนำรถออกขายทอดตลาดในราคาที่ลดลง.

​แนวคำพิพากษาศาลฎีกาได้วางหลักการนี้ไว้อย่างมั่นคง ดังเช่น:

  • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5547/2530: ศาลวินิจฉัยว่า การที่จำเลย (ผู้เช่าซื้อ) ผิดสัญญา ผู้เสียหายบอกเลิกสัญญาและให้ส่งรถคืน แต่จำเลยไม่ส่งคืนและพารถหลบหนีไป การกระทำนี้ยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการเบียดบังโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ หากแต่เป็นเพียงการกระทำที่แสดงถึงการผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น.

  • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 416/2550: ยืนยันหลักการเดียวกันว่า แม้จำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบคืนทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงหลังการบอกเลิกสัญญา และแม้มีการทำบันทึกข้อตกลงที่สถานีตำรวจเรื่องการนัดหมายส่งมอบคืน การไม่ส่งมอบคืนตามข้อตกลงดังกล่าว ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการเบียดบังที่จะเอาทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริต กรณีจึงเป็นเพียงเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่มีมูลความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์.

​๒.๓ แนววินิจฉัย: เมื่อถือเป็น "ความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์"

​ความผิดอาญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เช่าซื้อได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นการ เบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนโดยทุจริตอย่างชัดเจน ซึ่งหมายถึงการกระทำที่แสดงถึงเจตนาตัดสิทธิและปฏิเสธกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อโดยเด็ดขาด.

​พฤติการณ์สำคัญที่ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าถือเป็นการเบียดบังโดยทุจริต ได้แก่:

  1. การนำทรัพย์ไปจำนำหรือขายต่อ: การที่ผู้เช่าซื้อนำรถที่เช่าซื้อไปจำนำ ถือเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ย่อมเป็นความผิดฐานยักยอก. ในทางเดียวกัน หากมีการนำไปขายโดยไม่มีเจตนาที่จะนำกลับมาคืนหรือชดใช้ราคาให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ ก็เข้าข่ายการเบียดบังเช่นกัน.

  1. การซ่อนเร้นหรืออ้างว่าสูญหายโดยทุจริต: หากผู้เช่าซื้อถูกทวงถามและแจ้งให้คืนรถ แต่กลับเพิกเฉยและอ้างว่ารถสูญหาย โดยเชื่อได้ว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังปกปิดและซุกซ่อนรถยนต์โดยมีเจตนาที่จะไม่ส่งมอบคืนแก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการเบียดบังโดยทุจริตและเป็นความผิดฐานยักยอก.(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4781/2555)

​อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับเจตนาทุจริตในกรณีการจำนำ ศาลฎีกาเคยมีแนววินิจฉัยว่า หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า การนำทรัพย์ที่เช่าซื้อไปจำนำหรือวางไว้เป็นประกันหนี้เป็นเพียงชั่วคราว โดยผู้เช่าซื้อมีเจตนาที่จะไถ่ถอนทรัพย์สินนั้นคืนภายหลัง การกระทำนี้ยังไม่ถือเป็นการเบียดบังทรัพย์สินในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของอย่างเด็ดขาด จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอก. แต่หากไม่มีเจตนาหรือไม่สามารถไถ่ถอนคืนได้เลย ย่อมเป็นยักยอก.

​๒.๔ ข้อควรระวังเชิงกลยุทธ์: ความเสี่ยงด้านอายุความร้องทุกข์ ๓ เดือน

​ความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นความผิดอันยอมความได้ และมีอายุความร้องทุกข์ที่สั้นมากคือ สามเดือน นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 96.

​ในทางปฏิบัติ การที่บริษัทไฟแนนซ์ทราบว่าผู้เช่าซื้อผิดนัดและบอกเลิกสัญญา มักจะเริ่มจากการดำเนินคดีทางแพ่งก่อน ซึ่งกระบวนการทางแพ่งใช้เวลานาน แต่หากผู้ให้เช่าซื้อทราบถึงพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการเบียดบังโดยทุจริตอย่างชัดเจน (เช่น ทราบว่ารถถูกนำไปจำนำแล้ว) สิทธิในการฟ้องร้องคดีอาญาจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ทราบการกระทำนั้น. หากไฟแนนซ์เลือกที่จะรอผลการฟ้องคดีแพ่ง หรือรอการสืบหาทรัพย์สินจนล่วงเลยกำหนด 3 เดือนนับจากวันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะระงับไปทันทีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6).

​ดังนั้น การดำเนินคดีทางอาญาฐานยักยอกจึงไม่สามารถทำตามหลังการดำเนินคดีทางแพ่งได้โดยอัตโนมัติ แต่ต้องวางแผนการดำเนินการแบบ คู่ขนาน โดยเน้นการสืบหาพยานหลักฐานการเบียดบังโดยทุจริต และรีบดำเนินการร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน เพื่อให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่หมดอายุความ

III. การวิเคราะห์สถานการณ์ที่ ๒: การไม่คืนรถหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้คืนรถ



​๓.๑ สถานะทางกฎหมายภายหลังคำพิพากษาคดีแพ่ง

​เมื่อผู้ให้เช่าซื้อได้ฟ้องคดีแพ่งเรียกร้องให้ผู้เช่าซื้อคืนรถยนต์ และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เช่าซื้อ (จำเลย) ต้องส่งมอบรถยนต์คืนแก่ผู้ให้เช่าซื้อ (โจทก์) สถานะทางกฎหมายของผู้เช่าซื้อจะเปลี่ยนไป การที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วเป็นการยืนยันสิทธิในทรัพย์สินของผู้ให้เช่าซื้ออย่างเป็นทางการ และผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ในฐานะ ลูกหนี้ตามคำพิพากษา ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล.

​๓.๒ กลไกการบังคับคดีทางแพ่ง

​หากลูกหนี้ตามคำพิพากษายังคงไม่ยอมส่งมอบรถยนต์คืน การดำเนินการทางกฎหมายจะเข้าสู่กระบวนการ บังคับคดีทางแพ่ง โดยเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดี และตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าดำเนินการ.

​ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.แพ่ง) หมวด 3 ว่าด้วยการบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง (มาตรา 346 - 349) เป็นกลไกหลักที่ใช้ในการนี้. เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอำนาจดำเนินการเพื่อให้มีการส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นคืนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา. หากไม่สามารถบังคับเอาตัวทรัพย์สินคืนได้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็สามารถขอให้ศาลมีคำสั่งให้ลูกหนี้ชำระราคาของทรัพย์สินแทน.

​๓.๓ การไม่คืนรถตามคำพิพากษา ถือเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกหรือไม่

​โดยหลักการแล้ว การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งที่ให้คืนรถยนต์ ไม่ได้เป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์โดยตรง

​เหตุผลคือ องค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานยักยอกทรัพย์คือการ "เบียดบังโดยทุจริต". การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในคดีแพ่งนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลไกและมาตรการบังคับคดีทางแพ่งตาม ป.วิ.แพ่ง. การขัดขืนคำสั่งศาลให้คืนทรัพย์ในคดีแพ่งแม้จะผิดกฎหมาย แต่เป็นความผิดที่มุ่งหมายจะแก้ไขเยียวยาด้วยมาตรการทางแพ่ง (การบังคับให้คืนทรัพย์หรือชดใช้ราคา) และไม่ได้เพิ่มพฤติการณ์ที่แสดงถึงเจตนาทุจริตในการตัดกรรมสิทธิ์ที่จำเป็นสำหรับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 352. หากศาลถือว่าการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาแพ่งเป็นความผิดอาญาโดยอัตโนมัติ จะเป็นการสร้างภาระเกินควรต่อระบบกฎหมายอาญาและลดความสำคัญของการบังคับคดีทางแพ่ง

​ดังนั้น การดำเนินคดีในสถานการณ์นี้จึงยังคงเป็นเรื่องของการบังคับคดีตามคำพิพากษาในทางแพ่งเป็นหลัก เว้นแต่มีการกระทำอันเป็นพฤติการณ์ใหม่ที่แสดงเจตนาทุจริต เช่น หลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยกลับนำรถไปขายหรือทำลายทรัพย์สินนั้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจนำมาพิจารณาเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ได้อีกครั้ง เนื่องจากเป็นการกระทำที่ทำให้การบังคับคดีแพ่งในทรัพย์เฉพาะสิ่งนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยมีเจตนาทุจริต.

​IV. สรุปข้อพิจารณาทางกฎหมายและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้ให้เช่าซื้อ

​๔.๑ ข้อสรุปความแตกต่างของเจตนาทางกฎหมาย

​การตัดสินใจดำเนินคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่ง (การไม่คืนรถ) และการเบียดบังโดยทุจริตทางอาญา (การกระทำที่ปฏิเสธกรรมสิทธิ์ของเจ้าของโดยสิ้นเชิง)


๔.๒ กลยุทธ์ในการดำเนินคดีแบบบูรณาการ

​เนื่องจากความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นความผิดอันยอมความได้ และมีอายุความร้องทุกข์เพียงสามเดือน  หากบริษัทไฟแนนซ์ทราบพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการเบียดบังโดยทุจริต การรอผลการฟ้องร้องคดีแพ่งที่ใช้เวลานานจะทำให้สิทธิทางอาญาหมดอายุความไปโดยปริยาย

​ความเข้าใจในข้อจำกัดนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ให้เช่าซื้อไม่สามารถพึ่งพิงการบอกเลิกสัญญาหรือการฟ้องแพ่งเพียงอย่างเดียวเพื่อสร้างความผิดอาญา การดำเนินคดีที่เหมาะสมที่สุดคือการดำเนินการในลักษณะ คู่ขนานและบูรณาการ หากมีข้อสงสัยว่ามีการเบียดบังโดยทุจริตเกิดขึ้น (เช่น มีการนำรถไปจำนำหรือขายต่อ) ผู้ให้เช่าซื้อจะต้องดำเนินการในทันทีเพื่อ:

  1. เร่งรัดการสืบหาพยานหลักฐานทุจริต: ทันทีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดถึงขั้นสามารถบอกเลิกสัญญาได้ ควรมีการสืบหาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต" และการกระทำที่แสดงถึงการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของ (Active Misappropriation) เช่น หลักฐานการนำรถไปจำนำ หรือการซ่อนเร้นรถยนต์.
  2. การนับอายุความที่เข้มงวด: วันที่ผู้ให้เช่าซื้อทราบว่ารถถูกเบียดบังไปจำนำหรือขาย ถือเป็นวันเริ่มต้นนับอายุความ 3 เดือนตาม ป.อ. มาตรา 96. ไฟแนนซ์ต้องยื่นคำร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือนนี้ เพื่อรักษาสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไว้ ซึ่งหากล่วงเลยกำหนด สิทธิดังกล่าวจะระงับไปทันที.


​๔.๓ ข้อเสนอแนะในการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ "เจตนาทุจริต"

​การฟ้องร้องคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์จะประสบความสำเร็จได้ต่อเมื่อมีการพิสูจน์เจตนาทุจริตที่ชัดเจนและเหนือกว่าการผิดนัดชำระหนี้ทางแพ่ง พยานหลักฐานที่สำคัญ ได้แก่:

  • หลักฐานการกระทำที่ชัดเจน: ต้องมีหลักฐานยืนยันว่าผู้เช่าซื้อได้ดำเนินการ "จำหน่าย จ่าย โอน" หรือ "ซ่อนเร้น" ทรัพย์สินนั้น.
  • การแยกแยะการแจ้งความ: หากมีการแจ้งความดำเนินคดีอาญา ต้องบรรยายฟ้องหรือให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์เป็นของตนอย่างสมบูรณ์ มิใช่เพียงแต่ระบุถึงการผิดนัดไม่คืนรถตามสัญญา. การที่ผู้ให้เช่าซื้อเลือกที่จะทำบันทึกตกลงเรื่องค่าเสียหายทางแพ่งที่สถานีตำรวจโดยไม่มีพฤติการณ์เบียดบังชัดเจน อาจถูกตีความว่าเป็นการดำเนินการทางแพ่ง และทำให้คดีอาญาไม่มีมูลได้.


​V. บทสรุปทางกฎหมาย

​โดยสรุป การที่ผู้เช่าซื้อไม่ชำระค่าเช่าซื้อเกิน 3 งวดติดต่อกัน และถูกผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาแล้ว หากผู้เช่าซื้อไม่คืนรถ และผู้ให้เช่าซื้อเลือกที่จะแจ้งความดำเนินคดีอาญาโดยที่ยังไม่มีการฟ้องคดีแพ่งต่อศาล ผู้เช่าซื้อจะมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 352 ได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์ที่แสดงถึง เจตนาทุจริตในการเบียดบังทรัพย์สิน อย่างชัดเจน เช่น การนำรถไปจำนำ ขาย หรือซ่อนเร้นอย่างถาวร. หากเป็นเพียงการเพิกเฉย ไม่คืนรถตามคำบอกเลิกสัญญา ถือเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่งเท่านั้น ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5547/2530 และ 416/2550.

​ส่วนกรณีที่ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องคดีแพ่งจนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เช่าซื้อคืนรถ แต่จำเลยยังคงไม่คืนรถยนต์นั้น การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวโดยตัวของมันเอง ไม่ถือว่าเป็นความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์. การแก้ไขปัญหาการไม่คืนรถหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด จะต้องดำเนินการโดยใช้มาตรการ บังคับคดีทางแพ่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 346–349 เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเข้ายึดทรัพย์ หรือขอให้ศาลสั่งให้ชดใช้ราคาทรัพย์สินแทน. การดำเนินการทางอาญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์ทุจริตใหม่เกิดขึ้นหลังคำพิพากษา หรือผู้ให้เช่าซื้อได้ทำการร้องทุกข์ภายในอายุความ 3 เดือน นับแต่วันที่รู้ถึงการเบียดบังโดยทุจริตแต่แรก.

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend




วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เรื่องเล่าเพื่อการศึกษา การวิเคราะห์ทางกฎหมายและธรรมาภิบาล: กรณีความไม่โปร่งใสในการจัดตั้งและบริหารจัดการ มูลนิธิ

 



เรื่องเล่าเพื่อการศึกษา การวิเคราะห์ทางกฎหมายและธรรมาภิบาล: กรณีความไม่โปร่งใสในการจัดตั้งและบริหารจัดการ มูลนิธิ(เหตุการณ์สมมติ)

เรื่องเล่าเพื่อการศึกษา: “บอย พลังดี กับ มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน”
บอย พลังดี(นามสมมติ) เป็นหนุ่มขายก๋วยเตี๋ยวข้างทางในจังหวัดหนึ่งของภาคเหนือ
ไม่มีใครคิดว่าเด็กช่างฝันคนนี้จะกลายเป็นคนที่มีชื่อในสื่อ
ทุกอย่างเริ่มจากคลิปสั้นที่เขาแจกบะหมี่ฟรีให้แรงงานตกงานช่วงโควิด
คนแชร์กันเป็นล้าน วิวพุ่ง บอยกลายเป็นฮีโร่ชาวบ้าน
จากนั้นเขาเริ่มช่วยเคสยาก ๆ — เด็กถูกทำร้าย คนป่วยไร้เตียง ชาวบ้านถูกโกง
“ผมไม่ได้เป็นใครหรอกครับ แค่คนไม่อยากเห็นใครลำบาก”
เขาพูดประโยคนี้บ่อยมาก เวลามีนักข่าวมาสัมภาษณ์
วันหนึ่ง บอยประกาศก่อตั้ง “มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน” และเปิดเพจเฟซบุ้คจนมีผู้ติดตาม 20 ล้านคน
เพื่อรวมทีมอาสาและเงินบริจาคให้มีระบบ
โลโก้เป็นรูปมือสองข้างจับกันแน่น — สื่อถึงการพึ่งพา
คนบริจาคกันทั่วประเทศ ยอดบริจาคพุ่งถึง 500 ล้านบาท(สมมติ) แต่ไม่นานนัก สื่อก็เริ่มตั้งคำถามว่า
“ใครเป็นเจ้าของมูลนิธิกันแน่?”
มีคนตรวจพบว่าในเอกสารจดทะเบียนชื่อผู้ก่อตั้งคือ
นางซูซาน บานตะไท
ส่วนชื่อของบอยไม่มีในรายชื่อกรรมการเลย
แม้แต่ในข้อบังคับยังระบุว่า หากมูลนิธิเลิกกิจการ
ทรัพย์สินทั้งหมดจะโอนไปยัง “มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด” ซึ่งมีนักการเมืองคนหนึ่งเป็นผู้บริหาร
สังคมตั้งคำถามว่า
“บอยโดนใช้ชื่อหรือเปล่า?”
“หรือเขารู้เห็นด้วย?”
บอยออกมาไลฟ์น้ำตาคลอ
“ผมไม่ได้หนีครับ ผมไม่ใช่นักกฎหมาย ผมแค่คนอยากช่วย”
เขายืนยันว่า ทุกบาทที่คนโอนมาเข้าบัญชีมูลนิธิ ถูกใช้ช่วยคนจริง
พร้อมโชว์ใบโอนและใบเสร็จเต็มโต๊ะ
พร้อมพูดต่อหน้านักข่าวว่า จะเปลี่ยนแปลงข้อบังคับที่ให้ทรัพย์สินตกเป็นของ “มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด” เป็น ให้ทรัพย์สินตกเป็นของมูลนิธิอื่น

1. บทสรุปสำหรับผู้บริหารและข้อค้นพบเบื้องต้น



กรณีของนายบอย พลังดี และ "มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน" เป็นตัวอย่างสำคัญของความขัดแย้งระหว่าง อำนาจทางสังคม (Social Authority) ของบุคคลผู้มีอิทธิพลบนสื่อสาธารณะ กับ อำนาจตามกฎหมาย (De Jure Power) ในการบริหารจัดการองค์กรไม่แสวงหากำไร มูลนิธิดังกล่าวสามารถระดมทุนได้สูงถึง 500 ล้านบาท โดยอาศัยความเชื่อมั่นส่วนบุคคลในตัวนายบอย แต่โครงสร้างการบริหารที่แท้จริงกลับถูกซ่อนเร้นไว้เบื้องหลังคณะกรรมการที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักต่อสาธารณะ

การวิเคราะห์เชิงลึกตามหลักการทางกฎหมายไทยชี้ให้เห็นว่า การกระทำดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะเข้าข่ายความรับผิดชอบทั้งทางอาญาและทางแพ่งอย่างร้ายแรง นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงปัญหาธรรมาภิบาลที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อระบบองค์กรสาธารณกุศล

ข้อค้นพบทางกฎหมายที่สำคัญที่สุด

  1. ความรับผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน: การที่นายบอยใช้ชื่อตัวเองและแสดงตนเป็นผู้มีอำนาจควบคุมเงินและทิศทางการจัดการ แต่ปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวตนของผู้บริหารเงินตามกฎหมาย (นางซูซาน บานตะไท) และการปกปิดข้อบังคับเรื่องการโอนทรัพย์สินไปยังมูลนิธิที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง ย่อมเข้าข่ายการ "ปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง" ซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343

  2. ความรับผิดทางแพ่งและสิทธิบอกล้างการบริจาค: ผู้บริจาคที่หลงเชื่อในตัวตนและสถานะผู้บริหารของนายบอย สามารถใช้สิทธิทางแพ่งในการ บอกล้างนิติกรรมการบริจาค เนื่องจากเกิด สำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 157)

  3. ปัญหาธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล: โครงสร้างการบริหารงานที่จงใจแยกผู้ระดมทุนออกจากผู้ควบคุมการเงิน ถือเป็นปัญหาธรรมาภิบาลที่ร้ายแรง การกำหนดให้ทรัพย์สินของมูลนิธิเมื่อเลิกกิจการโอนไปยัง "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" ซึ่งมีนักการเมืองบริหารอยู่ อาจขัดต่อหลักการเรื่องวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศลที่แท้จริงตาม ป.พ.พ. มาตรา 110 และนายทะเบียนมีอำนาจสั่งตรวจสอบหรือเพิกถอนได้ .

2. หลักการพื้นฐานทางกฎหมายว่าด้วยมูลนิธิและการระดมทุนสาธารณะ

2.1 สถานะทางกฎหมายของมูลนิธิและวัตถุประสงค์เพื่อสาธารณกุศล

มูลนิธิที่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) จะมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 122 . มูลนิธิถือเป็นทรัพย์สินที่ถูกจัดสรรไว้โดยเฉพาะเพื่อวัตถุประสงค์ในการกุศลสาธารณะหรือสาธารณประโยชน์อย่างอื่น โดยมีข้อจำกัดสำคัญคือ มิได้มุ่งหาผลประโยชน์มาแบ่งปันกัน . นอกจากนี้ การจัดการทรัพย์สินของมูลนิธิต้องมิใช่เป็นการหาผลประโยชน์เพื่อบุคคลใด นอกจากเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธินั้นเอง (ป.พ.พ. มาตรา 110 วรรคสอง) .

ในกรณีนี้ มูลนิธิฯ ซึ่งระดมทุนได้ 500 ล้านบาท มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องใช้เงินบริจาคตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ตั้งแต่ต้น และคณะกรรมการที่จดทะเบียนมีภาระรับผิดชอบในการกำกับดูแลให้การใช้จ่ายเป็นไปอย่างโปร่งใสและชอบด้วยกฎหมาย.

2.2 อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย: ความแตกต่างระหว่างผู้ก่อตั้ง กรรมการ และผู้มีอิทธิพล

กฎหมายมูลนิธิกำหนดให้ผู้มีอำนาจในการบริหารและจัดการทรัพย์สินของนิติบุคคลคือ คณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องปรากฏรายชื่อ ที่อยู่ และอาชีพในเอกสารจดทะเบียน . ดังนั้น ในทางกฎหมาย ผู้รับผิดชอบเงินบริจาค 500 ล้านบาทนี้คือ นางซูซาน บานตะไท ในฐานะผู้ก่อตั้งและคณะกรรมการที่จดทะเบียนไว้ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมาย (Legal Accountability)

การที่นายบอย พลังดี ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนการระดมทุนหลักและเป็นที่มาของชื่อมูลนิธิ กลับไม่มีชื่อปรากฏในรายชื่อกรรมการเลย ถือเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างขององค์กร การจัดตั้งองค์กรในลักษณะนี้เป็นการจงใจแยก อำนาจการเข้าถึงเงินทุน (Fundraising Access) ซึ่งมาจากความน่าเชื่อถือของนายบอย ออกจาก อำนาจการควบคุมทางการเงิน (Fiduciary Control) ซึ่งเป็นของนางซูซานและคณะกรรมการที่แท้จริง

โครงสร้างดังกล่าวจัดตั้งขึ้นเพื่อให้นายบอยเป็นเพียง "หน้าฉาก" (Fronting) ในการดึงดูดเงินบริจาคจำนวนมหาศาล ขณะที่บุคคลอื่นหรือเครือข่ายอำนาจที่ซ่อนอยู่ (Hidden Authority) สามารถควบคุมทิศทางทรัพย์สินได้อย่างเบ็ดเสร็จภายหลัง ซึ่งเป็นความบกพร่องด้านธรรมาภิบาลอย่างร้ายแรงตั้งแต่การจัดตั้ง . หากคณะกรรมการที่แท้จริงอนุญาตให้นายบอยเข้ามาจัดการงานมูลนิธิโดยไม่มีสถานะทางกฎหมาย ก็อาจเข้าข่ายการมอบหมายที่ผิดระเบียบและยังต้องรับผิดชอบร่วมกันในฐานะผู้รับผิดชอบดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหากำไร.

2.3 หลักการกำกับดูแลการเรี่ยไร: ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล

การเปิดรับบริจาคจากประชาชนจำนวนมาก (500 ล้านบาท) เข้าข่ายการ "เรี่ยไร" ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487. แม้ว่ามูลนิธิที่จดทะเบียนแล้วอาจได้รับการยกเว้นในหลายกรณี แต่กฎหมายควบคุมการเรี่ยไรเน้นย้ำถึงความโปร่งใสในการเปิดเผยวัตถุประสงค์และห้ามการใช้วิธีการใด ๆ ที่ทำให้ผู้ถูกเรี่ยไรหลงผิด .

ความคาดหวังของสาธารณชนต่อองค์กรสาธารณกุศลในยุคปัจจุบัน คือการมีมาตรฐานความโปร่งใสและความรับผิดชอบในระดับสูง องค์กรที่น่าเชื่อถือควรมีความเป็นอิสระทางการเงินและเปิดเผยโครงสร้างการบริหารอย่างชัดเจน การปกปิดสถานะผู้บริหารที่แท้จริงและเงื่อนไขการโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อมาตรฐานความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสาธารณะที่องค์กรขนาดใหญ่พึงมี

3. การวิเคราะห์ปัญหาทางนิติบุคคล: ความขัดแย้งด้านธรรมาภิบาล

3.1 การปกปิดสถานะทางทะเบียนและอำนาจบริหาร

การที่นายบอยใช้ชื่อตัวเองตั้งชื่อมูลนิธิและแสดงออกว่าตนเป็น "เจ้าของ" หรือผู้มีอำนาจสั่งการ (เช่น การประกาศว่าจะสั่งเปลี่ยนข้อบังคับ) ถือเป็นการสร้างความเข้าใจผิดอย่างจงใจต่อผู้ติดตาม 20 ล้านคนกรรมการที่จดทะเบียนไว้ (นางซูซาน และคณะ) มีความรับผิดชอบทางกฎหมายในการดูแลเงินบริจาค 500 ล้านบาท หากพวกเขาอนุญาตให้นายบอย (ซึ่งไม่มีสถานะทางกฎหมาย) แสดงอำนาจจัดการเงินหรือกำหนดทิศทางของมูลนิธิโดยไม่มีการควบคุมหรือบันทึกที่ชัดเจน กรรมการที่แท้จริงย่อมต้องรับผิดชอบต่อความประพฤติและผลที่ตามมาของการใช้อำนาจผิดวัตถุประสงค์. การดำเนินการเช่นนี้อาจเข้าข่ายการบริหารงานที่ขัดต่อข้อบังคับของมูลนิธิหรือวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ต่อนายทะเบียน ซึ่งนายทะเบียนมูลนิธิมีอำนาจเข้าตรวจสอบและสั่งระงับกิจการได้.

3.2 ความชอบด้วยกฎหมายของข้อบังคับการโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ

ในทางกฎหมาย เมื่อมูลนิธิเลิกกิจการ ทรัพย์สินที่เหลือจากการชำระบัญชีจะต้องถูกโอนไปยังมูลนิธิหรือนิติบุคคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 110 (เพื่อสาธารณกุศลหรือสาธารณประโยชน์)  การที่ข้อบังคับเดิมระบุให้โอนทรัพย์สินไปยัง "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" เป็นการกระทำที่ทำได้ตามขั้นตอนการจดทะเบียน.

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นคือการที่ "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" มีนักการเมืองคนหนึ่งเป็นผู้บริหาร การจัดสรรทรัพย์สินของมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์สาธารณกุศลจำนวนมหาศาลให้แก่องค์กรที่มีความเชื่อมโยงหรือผลประโยชน์ทางการเมือง ย่อมสร้างความกังวลว่าทรัพย์สินเหล่านั้นอาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง แทนที่จะเป็นไปเพื่อ "สาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง" ตามที่กฎหมายกำหนด . หากนายทะเบียนพิจารณาว่ามูลนิธิผู้รับโอนอาจใช้วัตถุประสงค์ที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา 110 ข้อบังคับดังกล่าวอาจถูกสั่งให้แก้ไขเมื่อมีการชำระบัญชี หรือในระหว่างการตรวจสอบของนายทะเบียน การกระทำนี้จึงเป็นกลไกที่อาจถูกออกแบบมาเพื่อบิดเบือนเจตนาการกุศลของผู้บริจาค โดยเปลี่ยนเงินบริจาคสาธารณะไปเป็นเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมที่อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ทางการเมืองส่วนตัวในอนาคต

3.3 อำนาจในการแก้ไขข้อบังคับตามที่นายบอยประกาศ

การแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับของมูลนิธิเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องดำเนินการโดยมติของคณะกรรมการมูลนิธิที่จดทะเบียนไว้เท่านั้น หลังจากมีมติแล้ว ต้องยื่นเรื่องขอจดทะเบียนการแก้ไขเพิ่มเติมต่อนายทะเบียนมูลนิธิ (เช่น กรมการปกครอง หรือสำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร) ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้เวลาในการพิจารณา (ประมาณ 25 วัน) และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย .

การที่นายบอยประกาศต่อสาธารณะว่าจะ "สั่งเปลี่ยนข้อบังคับ" โดยที่เขาไม่ได้มีสถานะเป็นกรรมการ จึงเป็นการแสดงอำนาจที่ไม่สอดคล้องกับสถานะทางกฎหมายของมูลนิธิ การเปลี่ยนแปลงจะมีผลทางกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการที่แท้จริงดำเนินการตามขั้นตอนและนายทะเบียนอนุมัติเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การประกาศเช่นนี้ถือเป็นการรับรู้โดยปริยายว่าข้อบังคับเดิมเป็นปัญหาต่อความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่นายทะเบียนสามารถใช้ในการพิจารณาสั่งตรวจสอบได้

4. ความรับผิดทางอาญา: องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน (ป.อ. มาตรา 343)

ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเป็นความผิดต่อรัฐซึ่งไม่สามารถยอมความกันได้ .

4.1 การวิเคราะห์องค์ประกอบความผิดฉ้อโกงประชาชน

องค์ประกอบหลักของความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนคือ การที่ผู้กระทำ (1) แสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือ ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง (2) โดยการกระทำนั้น ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ (3) และได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอก .

ในกรณีนี้ การกระทำของนายบอยเข้าข่ายการปกปิดข้อความจริงอันเป็นสาระสำคัญถึงสองประเด็นหลัก:

  1. การปกปิดตัวตนของผู้บริหารเงิน: นายบอยใช้ชื่อเสียงของตนเองและชื่อ "มูลนิธิบอย พลังดี ไม่ทิ้งกัน" ในการระดมทุน ทำให้สาธารณชนหลงเชื่อว่าเขามีอำนาจจัดการและรับผิดชอบเงินทุนโดยตรง แต่ความจริงคือเขาปกปิดว่าอำนาจการจัดการตามกฎหมายเป็นของ นางซูซาน และคณะกรรมการที่ไม่เป็นที่รู้จัก .

  2. การปกปิดปลายทางทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ: นายบอยปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องข้อบังคับที่กำหนดให้เงินบริจาค 500 ล้านบาท อาจตกไปเป็นของมูลนิธิที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง

4.2 การตีความ "การปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง"

ความเชื่อมั่นของประชาชนในการบริจาคเงินจำนวนมหาศาลนี้เกิดจากความเชื่อในความซื่อสัตย์และสถานะของผู้บริหารจัดการเงิน (นายบอย) และความคาดหวังว่าเงินนั้นจะถูกใช้เพื่อสาธารณประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เมื่อข้อเท็จจริงทางกฎหมายเปิดเผยว่าผู้มีอำนาจจัดการเงินไม่ใช่บุคคลที่ประชาชนเชื่อถือ และทรัพย์สินอาจตกไปอยู่ในมือขององค์กรที่อาจมีความเชื่อมโยงทางการเมือง นี่ถือเป็น สาระสำคัญ ที่หากประชาชนทราบความจริงคงจะไม่ตัดสินใจบริจาคเงินให้ .

ดังนั้น การได้มาซึ่งทรัพย์สิน 500 ล้านบาท ผ่านการแสดงออกที่ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ "คุณสมบัติ" ของนิติบุคคลผู้รับบริจาคและการจัดการทรัพย์สินที่แท้จริง ย่อมถือว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตที่ครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343

5. ความรับผิดทางแพ่ง: การบอกล้างนิติกรรมสัญญาบริจาคโดยสำคัญผิด



ประชาชนที่โอนเงินบริจาคไปแล้วโดยหลงผิด มีช่องทางทางแพ่งในการเรียกร้องสิทธิของตนคืน โดยอาศัยหลักการสำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค

5.1 หลักกฎหมายว่าด้วยการสำคัญผิดในคุณสมบัติ (ป.พ.พ. มาตรา 157)

การบริจาคเงินเป็นการทำนิติกรรมสัญญาการให้ (Donation Contract) ผู้บริจาคสามารถอ้างว่าตนสำคัญผิดในคุณสมบัติของมูลนิธิผู้รับบริจาคอันเป็นสาระสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุให้การแสดงเจตนาของตนเป็นโมฆียะกรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 157 .

มาตรา 157 ระบุว่า การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ และความสำคัญผิดนั้นต้องเป็นคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว นิติกรรมนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น .

ในกรณีนี้ คุณสมบัติที่เป็นสาระสำคัญที่ผู้บริจาคสำคัญผิดคือ:

  1. ตัวตนของผู้บริหารเงิน (The Administrator Identity): ผู้บริจาคเชื่อว่าเงินจะถูกบริหารโดยนายบอย (ผู้ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือ) แต่ความจริงคือถูกบริหารโดยคณะกรรมการที่ไม่โปร่งใส

  2. ความชอบธรรมของวัตถุประสงค์ขององค์กร: ผู้บริจาคเชื่อว่าเงินจะถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณกุศลอย่างแท้จริงและต่อเนื่อง โดยไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝง ซึ่งรวมถึงการจัดสรรทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ .

5.2 สิทธิและขั้นตอนการบอกล้างนิติกรรมของผู้บริจาค

เมื่อผู้บริจาคสามารถพิสูจน์ได้ว่าการบริจาคเกิดจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติอันเป็นสาระสำคัญ ก็จะมีสิทธิ บอกล้างนิติกรรมการให้ ดังกล่าวได้ .

ผลของการบอกล้างคือ โมฆียะกรรมนั้นจะถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก (Void ab initio) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 176 มูลนิธิซึ่งเป็นคู่กรณีมีหน้าที่ต้อง กลับคืนสู่ฐานะเดิม ซึ่งหมายถึงการคืนเงินบริจาคให้แก่ผู้บริจาค สิทธิเรียกร้องนี้มีอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่บอกล้างโมฆียกรรม

อย่างไรก็ตาม มีข้อพิจารณาที่ซับซ้อนในทางปฏิบัติ หากมูลนิธิได้นำเงินบริจาค 500 ล้านบาท ไปใช้ช่วยเหลือสาธารณชนตามวัตถุประสงค์ (ตามที่นายบอยโชว์ใบเสร็จ) แล้วจริง การกลับคืนสู่ฐานะเดิมอาจถือเป็น พ้นวิสัย ตามมาตรา 176 ในกรณีที่พ้นวิสัยที่จะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมได้ มูลนิธิอาจมีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้บริจาคแทน

ดังนั้น ความรับผิดทางแพ่งของมูลนิธิจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการพิสูจน์การใช้เงินอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามวัตถุประสงค์สาธารณะ หากการใช้จ่ายขาดความโปร่งใส หรือมีหลักฐานว่ามีการนำเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ที่ไม่ใช่สาธารณกุศล โอกาสที่ผู้บริจาคจะชนะคดีเพื่อเรียกเงินคืนจะมีสูงขึ้น

6. ข้อสรุปและข้อเสนอแนะทางกฎหมาย



6.1 ความจำเป็นในการจดทะเบียนและบริหารงานโดยผู้มีอำนาจที่แท้จริง

ตามกฎหมายแล้ว มูลนิธิไม่จำเป็นต้องมีนายบอย พลังดี เป็นผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารการเงินด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากนายบอยเป็นผู้ใช้ชื่อและภาพลักษณ์ส่วนตัวในการควบคุมการตัดสินใจและระดมทุนหลักจำนวนมหาศาล (500 ล้านบาท) การที่เขาไม่ได้ปรากฏชื่อในฐานะกรรมการมูลนิธิเพื่อรับผิดชอบต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ จึงเป็น ช่องโหว่ทางธรรมาภิบาล ที่จงใจสร้างขึ้น

การดำเนินงานของมูลนิธิควรต้องสอดคล้องกับหลักการความเป็นอิสระและความรับผิดชอบต่อสาธารณะ . ในทางปฏิบัติ นายบอยซึ่งเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการ de facto ควรต้องขึ้นทะเบียนเป็นกรรมการ de jure เพื่อรับผิดชอบต่อการจัดการทรัพย์สินตามมาตรา 110 แห่ง ป.พ.พ. . หากกรรมการที่แท้จริงยินยอมให้นายบอยจัดการเงินโดยขาดการกำกับดูแล พวกเขายังคงต้องรับผิดชอบต่อความประพฤติในการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหากำไร.

6.2 บทบาทของนายทะเบียนในการกำกับดูแลและแก้ไข

นายทะเบียนมูลนิธิ (กรมการปกครอง) มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจสอบการดำเนินงานของมูลนิธิทุกแห่ง หากพบว่าคณะกรรมการมูลนิธิฝ่าฝืนข้อบังคับ ใช้ทรัพย์สินผิดวัตถุประสงค์ หรือการบริหารงานไม่โปร่งใส (เช่น การปกปิดโครงสร้างอำนาจ หรือเงื่อนไขการโอนทรัพย์สินที่ขัดต่อวัตถุประสงค์สาธารณกุศล) นายทะเบียนสามารถสั่งให้มูลนิธิแก้ไขข้อบังคับ หรือพิจารณาสั่งเพิกถอนใบอนุญาตได้.

การที่นายบอยออกมาประกาศว่าจะ "เปลี่ยนแปลงข้อบังคับ" เพื่อเปลี่ยนผู้รับโอนทรัพย์สินเมื่อเลิกกิจการ ควรเป็นสัญญาณที่นายทะเบียนควรใช้ในการสั่งตรวจสอบและทบทวนข้อบังคับเดิมทันที ว่าการระบุชื่อ "มูลนิธิศรัทธาบ้านเกิด" ซึ่งมีนักการเมืองบริหารนั้น ชอบด้วยเจตนารมณ์ของ ป.พ.พ. มาตรา 110 ตั้งแต่ต้นหรือไม่ .

6.3 แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้บริจาคที่โอนเงินไปแล้ว

ประชาชนที่รู้สึกว่าตนถูกปกปิดข้อเท็จจริงและหลงผิดในการบริจาค มีช่องทางในการดำเนินการทางกฎหมาย ดังสรุปในตารางวิเคราะห์ด้านล่าง:

ตารางที่ 1: ช่องทางการดำเนินคดีและข้อเรียกร้องสำหรับผู้บริจาคที่หลงผิด

ช่องทางกฎหมายฐานกฎหมาย/หลักการผู้รับผิดชอบที่ถูกดำเนินการวัตถุประสงค์หลักผลที่คาดหวัง
การฟ้องร้องทางอาญาป.อ. มาตรา 343 (ฉ้อโกงประชาชน)นายบอย และ/หรือ คณะกรรมการที่รู้เห็นให้รัฐลงโทษผู้กระทำความผิด

คดีไม่สามารถยอมความได้ ต้องพิสูจน์ว่าการปกปิดข้อเท็จจริงเป็นเหตุให้ประชาชนหลงเชื่อโอนเงิน

การฟ้องร้องทางแพ่งป.พ.พ. ม. 157 (สำคัญผิด) และ ม. 176 (การบอกล้าง)มูลนิธิ (นิติบุคคล)เรียกเงินบริจาคคืน หรือเรียกค่าเสียหายชดใช้แทนมีสิทธิบอกล้างได้ แต่การคืนเงินอาจถูกโต้แย้งว่าพ้นวิสัยหากเงินถูกใช้ช่วยคนไปแล้วจริง
ยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนการดำเนินกิจการผิดวัตถุประสงค์/ไม่โปร่งใสนายทะเบียนมูลนิธิ (กรมการปกครอง)ตรวจสอบธรรมาภิบาลและการใช้เงิน/ข้อบังคับ

นายทะเบียนอาจสั่งให้มูลนิธิแก้ไขข้อบังคับ หรือเพิกถอนการจดทะเบียน 

การดำเนินการทางอาญาจะมุ่งเน้นที่การพิสูจน์เจตนาทุจริตในการปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อได้มาซึ่งทรัพย์สิน ขณะที่การดำเนินการทางแพ่งจะมุ่งเน้นไปที่การบอกล้างความผูกพันตามสัญญาบริจาคที่เกิดจากความสำคัญผิดในคุณสมบัติของนิติบุคคลผู้รับบริจาค ซึ่งทั้งสองแนวทางสามารถดำเนินการควบคู่กันไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณชนได้.

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend


วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568

ข้อพิพาทและการจัดการที่ดินมรดก: มุมมองทางกฎหมายและแนวทางการแก้ไข

 

ข้อพิพาทและการจัดการที่ดินมรดก: มุมมองทางกฎหมายและแนวทางการแก้ไข



​1. บทนำ: หลักการพื้นฐานของที่ดินมรดกตามกฎหมายไทย

​1.1 นิยามและขอบเขตของกองมรดก

​การทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่ดินมรดกเริ่มต้นจากการกำหนดขอบเขตของ "มรดก" ตามกฎหมายอย่างชัดเจน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1600 ได้บัญญัติไว้ว่า ภายใต้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ. คำนิยามนี้แสดงให้เห็นว่ามรดกไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงทรัพย์สินที่เป็นรูปธรรม เช่น ที่ดิน หรือเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิทธิเรียกร้องและภาระความรับผิดชอบที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนเสียชีวิตด้วย

​อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ว่า ทรัพย์สินหรือสิทธิหน้าที่ใดที่โดยสภาพแล้ว หรือตามกฎหมาย เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ จะไม่ตกทอดเป็นมรดก. ที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่มีเอกสารสิทธิ์ (เช่น โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส. 3 ก.)) ถือเป็นทรัพย์สินสำคัญในกองมรดกที่ทายาทมีสิทธิรับโอนกรรมสิทธิ์ต่อไป ซึ่งเป็นที่มาของข้อพิพาทที่สำคัญที่สุดในทางปฏิบัติ.

​1.2 ประเภทของทายาทและการรับมรดก

​การพิจารณาว่าใครมีสิทธิรับโอนที่ดินมรดกนั้นขึ้นอยู่กับสองประเภทของทายาท คือ ทายาทโดยพินัยกรรม และทายาทโดยธรรม ทายาทโดยพินัยกรรมคือบุคคลที่เจ้ามรดกได้แสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งในพินัยกรรมให้เป็นผู้รับทรัพย์มรดก. ผู้รับพินัยกรรมนี้มีสิทธิเหนือทายาทโดยธรรมในส่วนของทรัพย์ที่พินัยกรรมระบุไว้

​ในกรณีที่เจ้ามรดกเสียชีวิตโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ หรือทำพินัยกรรมไว้แต่ไม่ครอบคลุมทรัพย์สินทั้งหมด ทรัพย์ส่วนที่เหลือจะตกแก่ทายาทโดยธรรมตามลำดับชั้นและส่วนแบ่งที่กฎหมายกำหนดไว้. ทายาทโดยธรรมประกอบด้วยคู่สมรสและญาติในลำดับต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งโดยทั่วไปคือ ผู้สืบสันดาน บิดามารดา พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ตามลำดับ

​1.3 บทบาทและความสำคัญของพินัยกรรมในการป้องกันข้อพิพาท

​การจัดทำพินัยกรรมถือเป็นมาตรการป้องกันเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดความขัดแย้งและอำนวยความสะดวกในการบริหารจัดการและโอนที่ดินมรดกในภายหลัง การวิเคราะห์เชิงลึกพบว่า การไม่มีพินัยกรรมก่อให้เกิดความซับซ้อนในทางธุรการและการเพิ่มความเสี่ยงของข้อพิพาทอย่างมีนัยสำคัญ

​ประการแรก การมีพินัยกรรมช่วยกำหนดผู้รับมรดกและส่วนแบ่งได้อย่างชัดเจน. ประการที่สอง ผลประโยชน์เชิงปฏิบัติที่สำคัญคือ การโอนมรดกที่ดินตามพินัยกรรมจะ ได้รับการยกเว้น จากการต้องจัดทำบัญชีเครือญาติ และไม่ต้องขอความยินยอมจากทายาทโดยธรรมคนอื่นที่ไม่มีชื่อรับมรดกตามพินัยกรรมให้มาลงนามยินยอมในการโอนมรดกเลย. ข้อกำหนดเรื่องการขอความยินยอมจากทายาทนี้เองที่เป็นสาเหตุของปัญหาและความขัดแย้งในการโอนมรดกที่ดินในทางปฏิบัติมากที่สุด การวางแผนทางกฎหมายล่วงหน้า (การทำพินัยกรรม) จึงเป็นกุญแจสำคัญในการตัดวงจรความยุ่งยากทางธุรการและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นตามมา

​II. การจัดการมรดกและการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน

​2.1 การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

​ผู้จัดการมรดกเป็นบุคคลสำคัญที่มีหน้าที่รวบรวมทรัพย์สินของผู้ตาย ชำระหนี้สิน และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาท การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกมักเกิดขึ้นเมื่อทายาทไม่สามารถตกลงกันได้ หรือมีเหตุจำเป็นในการจัดการทรัพย์สินของผู้ตายอย่างเป็นระบบ ซึ่งจำเป็นต้องยื่นคำร้องต่อศาล

​การยื่นคำร้องขอจัดการมรดกจะต้องยื่นต่อศาลที่ผู้ตายมีภูมิลำเนา (ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน) ในเขตศาลนั้นขณะถึงแก่ความตายเป็นหลัก. ในทางปฏิบัติ แม้ว่าศาลจะมีอำนาจในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก แต่เพื่อให้กระบวนการยื่นคำร้องและไต่สวนเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว ทายาทผู้มีสิทธิ์รับมรดกทุกคน ควร ให้ความยินยอมเป็นหนังสือพร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนประกอบการยื่นคำร้องด้วย. สำหรับค่าใช้จ่ายในการร้องขอจัดการมรดกนั้น โดยทั่วไปจะอยู่ที่หลักหมื่นบาท เว้นแต่จะมีทายาทคัดค้าน ซึ่งจะทำให้กระบวนการยืดเยื้อและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น.

​2.2 ขั้นตอนการจดทะเบียนโอนมรดก ณ สำนักงานที่ดิน

​การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมรดกเป็นกระบวนการทางปกครองที่ดำเนินการ ณ กรมที่ดิน โดยแบ่งออกเป็นสองกรณีหลัก: กรณีมีผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล และกรณีไม่มีผู้จัดการมรดก

​2.2.1 กรณีมีผู้จัดการมรดก (กรณีที่ได้รับความสะดวก)

​เมื่อศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกแล้ว การโอนกรรมสิทธิ์จะมีความสะดวกสบายอย่างยิ่ง เนื่องจากเจ้าพนักงานที่ดินสามารถตรวจสอบคำสั่งศาลและดำเนินการโอนได้ตามขั้นตอน โดยมีลำดับดังนี้: การรับคำขอและสอบสวน การตรวจสอบสารบบที่ดิน การตรวจอายัด และการเสนอเจ้าพนักงานที่ดินสั่งจดทะเบียน. ที่สำคัญที่สุดคือ การจดทะเบียนโอนมรดกหลังจากที่มีการจดทะเบียนผู้จัดการมรดกไว้แล้ว จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีการประกาศให้ประชาชนทราบก่อน 30 วัน.

​การที่กระบวนการทางปกครอง ณ กรมที่ดินสามารถตัดขั้นตอนการประกาศ 30 วันได้นั้น แสดงให้เห็นว่าความมีประสิทธิภาพของการดำเนินการในส่วนราชการขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์และเด็ดขาดของคำสั่งทางตุลาการ (ศาล) การดำเนินการทางกฎหมายให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกที่ถูกต้องตามกฎหมายจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการลดความเสี่ยงด้านเวลาและลดโอกาสในการถูกคัดค้านในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน

​2.2.2 กรณีไม่มีผู้จัดการมรดก (กรณีที่พบบ่อย)

​ในกรณีที่เจ้ามรดกเสียชีวิตและทายาทร้องขอรับโอนมรดกโดยตรงโดยไม่มีผู้จัดการมรดกที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาล กฎหมายกำหนดให้ต้องมีการดำเนินการเพื่อประกาศให้ประชาชนทราบก่อนเป็นระยะเวลา 30 วัน. ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทายาทอื่นหรือผู้มีส่วนได้เสียทราบและมีโอกาสคัดค้าน การประกาศดังกล่าวจะมีการปิดไว้ ณ ที่ทำการราชการ เช่น สำนักงานที่ดิน, ที่ทำการเทศบาล หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.). หากครบกำหนด 30 วันและไม่มีผู้ใดคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินจึงจะสามารถดำเนินการจดทะเบียนตามคำขอได้.

​2.3 เอกสารสำคัญและค่าธรรมเนียมเบื้องต้น

​ในการดำเนินการที่สำนักงานที่ดิน ทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะต้องเตรียมเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของตนเอง. หากเป็นกรณีที่มอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจ (แบบ ทด.21) พร้อมสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านทั้งของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ.

​ในส่วนของค่าธรรมเนียมเบื้องต้นนั้น ค่าคำขอสำหรับการโอนมรดกที่ดินจะอยู่ที่แปลงละ 5 บาท. อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดในการโอนมรดกที่ดินจะครอบคลุมถึงค่าจดทะเบียนการโอน (ซึ่งมีอัตราผันแปรตามมูลค่าทุนทรัพย์) และค่าภาษีอากรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย

​III. การวิเคราะห์เชิงลึก: ข้อพิพาทหลักที่พบบ่อยเกี่ยวกับที่ดินมรดก

​ข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินมรดกมักแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ได้แก่ ข้อพิพาทเรื่องอายุความและการเรียกร้องสิทธิ, ข้อพิพาทเรื่องการจัดการมรดกที่ไม่สุจริต, และข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์รวมและแนวเขตที่ดิน

​3.1 ข้อพิพาทด้านอายุความและการเรียกร้องสิทธิในมรดก

​ความซับซ้อนของข้อพิพาทมรดกมักมาจากความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบัญญัติว่าด้วยอายุความ ซึ่งกฎหมายได้กำหนดแยกไว้สำหรับคดีมรดกและคดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกอย่างชัดเจน.

​3.1.1 ความแตกต่างของประเภทคดีและบทบัญญัติอายุความ

  1. คดีมรดก (ฟ้องเรียกทรัพย์มรดก) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754:
    • ​มีอายุความ 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก.

    • ​แต่มีข้อจำกัดสูงสุดคือ มิให้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดสิบปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย.

  1. คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง:
    • ​มีอายุความ 5 ปี นับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง. คดีประเภทนี้มักเกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องให้ผู้จัดการมรดกปฏิบัติหน้าที่หรือเรียกคืนทรัพย์สินที่ถูกจัดการไปโดยไม่ชอบ.

​การที่ทายาทจำนวนมากพลาดสิทธิในการเรียกร้องมรดกเป็นผลมาจากความสับสนในการนับอายุความ 1 ปี (นับแต่รู้การตาย) และข้อจำกัดสูงสุด 10 ปี (นับแต่วันตาย) หากทายาทไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายภายในกรอบเวลาดังกล่าว สิทธิในการเรียกร้องมรดกอาจขาดอายุความไปโดยปริยาย

​3.2 ข้อพิพาทการจัดการมรดกโดยมิชอบและการล่วงเลยอายุความ (กรณีศึกษา ฎีกาที่ 2729/2565)

​ประเด็นที่ซับซ้อนที่สุดในทางกฎหมายคือกรณีที่ผู้จัดการมรดกกระทำการโดยไม่สุจริต ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการนับอายุความ ศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยสำคัญ (ฎีกาที่ 2729/2565) ที่ให้ความคุ้มครองแก่ทายาทที่ถูกปกปิดหรือถูกจัดการมรดกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย.

​3.2.1 หลักการว่าด้วย "การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลง"

​ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกมีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น ปกปิดความเป็นทายาท หรือดำเนินการโอนทรัพย์สินมรดกให้กับตนเองเพียงคนเดียวโดยไม่ได้แจ้งให้ทายาทคนอื่นทราบ  ศาลฎีกาวางหลักว่า การกระทำที่ไม่สุจริตดังกล่าว ไม่อาจถือว่าการจัดการมรดกสิ้นสุดลงแล้ว. ตราบใดที่การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลง ผู้จัดการมรดกยังคงมีหน้าที่ต้องจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนตามสิทธิที่กฎหมายกำหนด.

​นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกกระทำโดยมิชอบ จะต้องถือว่าผู้จัดการมรดกนั้นครอบครองทรัพย์มรดกของผู้ตาย แทนทายาทอื่น. การตีความทางกฎหมายในลักษณะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางกฎหมายจากคดีเรียกร้องทรัพย์มรดก (ซึ่งมีอายุความ 10 ปี) ไปสู่หน้าที่ที่ดำเนินต่อเนื่องของผู้จัดการมรดก (ความสัมพันธ์ทางความไว้วางใจ)

​3.2.2 ผลของการยกเว้นอายุความ

​เมื่อศาลวินิจฉัยว่าการจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลงเนื่องจากผู้จัดการมรดกกระทำการโดยมิชอบ จึง ไม่สามารถนำอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1733 วรรคสอง และ อายุความ 1 ปี หรือ 10 ปี ตามมาตรา 1754 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ มาใช้บังคับได้. ผลลัพธ์คือ แม้ว่าการโอนทรัพย์มรดกนั้นจะเกิดขึ้นเกินกว่าห้าปี หรือโจทก์จะฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เจ้ามรดกตายแล้วก็ตาม คดีของทายาทผู้เสียหายก็ ไม่ขาดอายุความ.

​หลักการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า กฎหมายมุ่งเน้นปกป้องความสุจริตในการบริหารทรัพย์สินมรดก และถือว่าอายุความสูงสุด 10 ปี ไม่ใช่ข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการฟ้องร้อง หากทายาทสามารถพิสูจน์ได้ถึงความไม่ซื่อสัตย์ของผู้จัดการมรดกที่ได้รับมอบหมาย

3.3 ข้อพิพาทการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน

​เมื่อที่ดินมรดกตกทอดแก่ทายาทหลายคนโดยที่ยังไม่ได้มีการแบ่งแยกโฉนดทางกายภาพ ทายาททุกคนจะถือ "กรรมสิทธิ์รวม" ในที่ดินแปลงนั้น. ความเป็นเจ้าของรวมเป็นบ่อเกิดของข้อพิพาท เนื่องจากทายาทแต่ละคนมีสิทธิที่จะบริหารจัดการหรือจำหน่ายที่ดินได้เพียงตามส่วนของตนเท่านั้น และหากต้องการทำการแบ่งแยก ทายาทคนใดคนหนึ่งมีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินที่อยู่ในกรรมสิทธิ์รวมได้ตลอดเวลา.

​กฎหมายกำหนดแนวทางการแก้ไขข้อพิพาทกรรมสิทธิ์รวมตามลำดับขั้นตอน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและยุติข้อพิพาท :

  1. การตกลงกันเอง: ทายาทควรหาข้อยุติในการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน หรือตกลงเรื่องการครอบครองและใช้ประโยชน์กันเองก่อน.
  2. การประมูลราคาระหว่างกัน: หากไม่สามารถตกลงแบ่งแยกได้ ทายาทสามารถเสนอให้นำทรัพย์สินนั้นออกประมูลราคากันเองระหว่างเจ้าของรวมก่อน.
  3. การขายทอดตลาด: หากไม่สามารถตกลงกันได้ในทุกกรณี กฎหมายให้อำนาจแก่ศาลที่จะมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด และนำเงินสุทธิที่ได้มาแบ่งให้แก่เจ้าของรวมตามสัดส่วน การมีกลไกทางกฎหมายที่ชัดเจนนี้แสดงให้เห็นว่ากฎหมายไม่สนับสนุนให้เกิดการถือครองกรรมสิทธิ์รวมที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ในระยะยาว หากการตกลงแบ่งแยกไม่ได้ ผลลัพธ์สุดท้ายที่ศาลจะกำหนดคือการบังคับขายทอดตลาด

​หากทายาทตกลงแบ่งแยกทางกายภาพได้ จะต้องมีการยื่นคำขอ รังวัดแบ่งแยก ต่อกรมที่ดิน เพื่อทำการรังวัดและออกโฉนดที่ดินแปลงใหม่ให้กับเจ้าของแต่ละรายตามส่วนที่ตกลง.

​3.4 ข้อพิพาทแนวเขตที่ดินและการรังวัด

​ข้อพิพาทแนวเขตมักเกิดขึ้นเมื่อมีการยื่นคำขอรังวัดสอบเขตหรือแบ่งแยกที่ดินมรดก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อที่ดินข้างเคียงหรือที่ดินแปลงที่เหลือ

​3.4.1 กระบวนการรังวัดและการคัดค้าน

​เมื่อมีการยื่นคำขอรังวัดที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นการรังวัดเพื่อสอบเขตหรือเพื่อแบ่งแยก ทายาทหรือเจ้าของที่ดินข้างเคียงจะได้รับหนังสือแจ้งให้ไปร่วมระวังแนวเขตที่ดิน. การเข้าร่วมระวังแนวเขตเป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาสิทธิของตนเอง

​ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิโดยชอบธรรมในการคัดค้านการรังวัดสอบเขต หากพบว่าแนวเขตที่ดินมีการรุกล้ำหรือนำชี้แนวเขตคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง. การกระทำนี้ถือเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อระงับการดำเนินการทางปกครอง

​3.4.2 ผลของการละเลยการคัดค้าน

​การละเลยต่อการแจ้งเตือนและไม่เข้าร่วมระวังแนวเขต หรือการไม่ทำการคัดค้านอย่างเป็นทางการภายในระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 30 วันนับแต่มีหนังสือแจ้ง)  ถือเป็นความประมาทเลินเล่อทางธุรการที่นำไปสู่ผลกระทบทางกฎหมายที่ร้ายแรงและซับซ้อนอย่างยิ่ง การไม่คัดค้านจะทำให้เจ้าหน้าที่ที่ดินสามารถดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์ใหม่ได้ทันทีตามคำขอรังวัดเดิม.

​เมื่อเอกสารสิทธิ์ใหม่ถูกออกไปแล้ว ผู้ที่เสียสิทธิจะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องคดีต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการออกเอกสารสิทธิ์นั้น ซึ่งเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์และมีความซับซ้อนสูง. ดังนั้น การเข้าร่วมตรวจสอบและคัดค้านภายใน 30 วันตามที่ได้รับแจ้งจึงเป็นมาตรการป้องกันความเสียหายที่จำเป็นอย่างยิ่ง.

​3.4.3 การนำคดีขึ้นสู่ศาล

​หากเจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแนวเขตที่ดินได้ เจ้าพนักงานที่ดินจะแนะนำให้คู่กรณีที่คัดค้านไปฟ้องศาลภายในกำหนด 90 วัน เพื่อให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายใด. หากผู้คัดค้านไม่ดำเนินการฟ้องศาลภายใน 90 วันดังกล่าว เจ้าพนักงานที่ดินจะดำเนินการตามคำขอรังวัดเดิม

​IV. กลไกการระงับข้อพิพาทและคำแนะนำเชิงปฏิบัติ

​4.1 การไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความ

​การระงับข้อพิพาทโดยการไกล่เกลี่ยประนีประนอมยอมความถือเป็นกลไกที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด เนื่องจากช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการดำเนินคดีทางศาลได้หลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์รวม. การไกล่เกลี่ยสามารถดำเนินการได้ทั้งในชั้นศาลและในชั้นเจ้าพนักงานที่ดิน (ในกรณีข้อพิพาทแนวเขต). การประนีประนอมยอมความสามารถนำไปสู่การแบ่งทรัพย์สินตามความต้องการที่แท้จริงของทายาท มากกว่าการถูกบังคับให้ขายทอดตลาด

​4.2 กลยุทธ์การฟ้องร้องคดีมรดก

​ในการนำคดีขึ้นสู่ศาล ทนายความและทายาทต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการจำแนกประเภทคดีเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดอายุความ การฟ้องร้องจะต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการฟ้องเรียกร้องสิทธิในทรัพย์มรดก (ม. 1754) หรือเป็นการฟ้องร้องเกี่ยวกับการจัดการมรดกที่ไม่ชอบ (ม. 1733).

​กลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในการเผชิญหน้ากับข้อจำกัดด้านอายุความ โดยเฉพาะเมื่อพ้นระยะเวลา 10 ปีนับแต่วันตายของเจ้ามรดก คือการใช้หลักกฎหมายว่าด้วยความไม่สุจริต (The Bad Faith Defense) ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2729/2565. การฟ้องร้องจะต้องมุ่งเน้นที่การพิสูจน์ให้ศาลเห็นว่าผู้จัดการมรดกมีการปกปิดทายาทหรือกระทำการโดยมิชอบอื่นๆ ซึ่งเป็นการละเมิดหน้าที่ในฐานะผู้จัดการมรดกอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ ศาลจึงสามารถวินิจฉัยว่า "การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลง" ส่งผลให้คดีไม่ขาดอายุความ.

​4.3 แนวทางการเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินที่ดำเนินการโดยมิชอบ

​ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกดำเนินการโอนที่ดินมรดกให้กับตนเองหรือบุคคลที่สามโดยไม่มีอำนาจหรือโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทายาทผู้เสียหายจะต้องดำเนินการฟ้องศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่ง เพิกถอนนิติกรรมการโอน ดังกล่าว. การฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนนิติกรรมนี้จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการเรียกร้องสิทธิในทรัพย์มรดก เพื่อให้ทรัพย์สินกลับคืนสู่กองมรดกและสามารถแบ่งปันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

​4.4 การแก้ไขข้อพิพาทแนวเขตที่ดินโดยศาล

​เมื่อข้อพิพาทแนวเขตไม่สามารถยุติได้ในชั้นเจ้าพนักงานที่ดิน ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่คัดค้านจะต้องยื่นฟ้องศาลเพื่อให้ศาลพิจารณาพิสูจน์สิทธิในที่ดินพิพาทภายใน 90 วัน. การดำเนินการทางกฎหมายภายในกรอบเวลานี้มีความเด็ดขาด เนื่องจากเป็นโอกาสสุดท้ายในการพิสูจน์สิทธิตามกฎหมายก่อนที่เจ้าพนักงานที่ดินจะดำเนินการตามคำขอเดิมโดยถือว่าไม่มีการคัดค้านที่ชอบด้วยกฎหมาย.

​V. สรุปและมาตรการป้องกันข้อพิพาท (Mitigation and Prevention)

​รายงานนี้แสดงให้เห็นว่าข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินมรดกในประเทศไทยมีความซับซ้อนทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นอายุความและการจัดการมรดกที่ไม่สุจริต ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์และการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง.

​5.1 มาตรการป้องกันเชิงรุก

​มาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดข้อพิพาทคือการวางแผนทางกฎหมายล่วงหน้า:

  1. การจัดทำพินัยกรรม: การทำพินัยกรรมที่ถูกต้องเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการกำหนดผู้รับมรดกอย่างชัดเจน และช่วยหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการขอความยินยอมจากทายาทจำนวนมากในการโอนมรดก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาเชิงธุรการ.

  1. การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกที่ได้รับความไว้วางใจ: การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกที่ได้รับการยอมรับจากทายาทส่วนใหญ่เป็นการสร้างความโปร่งใสและทำให้การบริหารทรัพย์มรดกเป็นไปอย่างราบรื่น การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกโดยคำสั่งศาลยังเป็นยุทธศาสตร์ที่ช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนการประกาศ 30 วัน ณ สำนักงานที่ดินได้อีกด้วย.

​5.2 ข้อควรระวังและการติดตามทรัพย์มรดก

​ทายาทควรตระหนักถึงความเสี่ยงของการขาดอายุความ และจะต้องติดตามสถานะของทรัพย์มรดกอย่างสม่ำเสมอ. ประเด็นสำคัญคือความเข้าใจในกรอบเวลา 1 ปี และขีดจำกัดสูงสุด 10 ปี นับแต่วันตายของเจ้ามรดก. อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้จัดการมรดกปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความสุจริต การต่อสู้คดีจะต้องเปลี่ยนไปมุ่งเน้นที่การพิสูจน์ความไม่ชอบมาพากลของการจัดการมรดก โดยอ้างหลักกฎหมายที่ว่าหน้าที่การจัดการมรดกยังไม่สิ้นสุดลง เพื่อให้คดีไม่ขาดอายุความ.

​นอกจากนี้ ในข้อพิพาทแนวเขตที่ดิน ทายาทและผู้มีส่วนได้เสียจะต้องเข้าร่วมในการตรวจสอบแนวเขตและ ทำการคัดค้านอย่างเป็นทางการทันที หากพบความผิดปกติในการรังวัด. การละเลยกำหนดเวลา 30 วันในการคัดค้านจะเปลี่ยนปัญหาจากเรื่องทางธุรการที่แก้ไขได้ง่ายให้กลายเป็นคดีศาลที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานานในการขอเพิกถอนเอกสารสิทธิ์.


***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend


วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568

กรรมสิทธิ์รวม ข้อพิพาท แนวทางการดำเนินคดี และบทบาทของทนายความ

 

กรรมสิทธิ์รวม ข้อพิพาท แนวทางการดำเนินคดี และบทบาทของทนายความ



​รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์รวม (Co-ownership) ตามกฎหมายไทย โดยมุ่งเน้นที่หลักการพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง, ประเภทของข้อพิพาทที่เกิดขึ้น, แนวทางการดำเนินคดีในระบบยุติธรรม, และบทบาทสำคัญของทนายความในกระบวนการยุติธรรม รายงานนี้จะใช้หลักการทางกฎหมาย แนวคำพิพากษาศาลฎีกา และแนวปฏิบัติในทางคดี เพื่อให้ภาพที่สมบูรณ์และเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นกรรมสิทธิ์รวม

​1. หลักการพื้นฐานของกรรมสิทธิ์รวม (Co-ownership: Fundamental Principles)

​1.1 นิยามและสาระสำคัญของกรรมสิทธิ์รวม

​กรรมสิทธิ์รวมเป็นสภาวะทางกฎหมายที่ทรัพย์สินหนึ่งมีบุคคลหลายคนเป็นเจ้าของร่วมกัน โดยแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดในฐานะที่เป็นเจ้าของรวมร่วมกัน  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1356 ได้วางหลักการพื้นฐานนี้ไว้ว่า หากทรัพย์สินเป็นของบุคคลหลายคนรวมกัน ให้ใช้บทบัญญัติในหมวดนี้บังคับ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น  หลักการสำคัญที่แตกต่างจากกรรมสิทธิ์เดี่ยวคือ เจ้าของรวมแต่ละคนไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในส่วนใดส่วนหนึ่งของทรัพย์สินอย่างชัดเจนทางกายภาพ (ยังไม่ได้แบ่งการครอบครองเป็นสัดส่วน) แต่มีสิทธิในสัดส่วนที่เป็น "ส่วนของตน" ในทรัพย์สินทั้งหมดนั้น

​อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของความเป็นเจ้าของนี้มักเป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้ง ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานยืนยันถึงสัดส่วนที่ชัดเจน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357 ได้วางหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากัน  หลักการนี้ถือเป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายเท่านั้น และสามารถถูกหักล้างได้หากมีข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าสัดส่วนของแต่ละคนไม่เท่ากัน

​1.2 ที่มาของกรรมสิทธิ์รวมในทางปฏิบัติ

​กรรมสิทธิ์รวมสามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุในทางปฏิบัติ ซึ่งแต่ละที่มามักส่งผลต่อความซับซ้อนของข้อพิพาทที่แตกต่างกัน ที่มาของกรรมสิทธิ์รวมที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • การรับมรดก: เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย และทรัพย์สินถูกส่งต่อไปยังทายาทหลายคน ซึ่งมีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกตามกฎหมาย  ทายาททุกคนย่อมมีสิทธิเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์สินมรดกนั้นตามส่วนที่ตนจะพึงได้รับ

  • การซื้อขายร่วมกัน: การที่บุคคลหลายคนตัดสินใจร่วมกันซื้อทรัพย์สิน เช่น ที่ดินหรือบ้าน โดยมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของร่วมกันตั้งแต่ต้น

  • การอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส: ประเด็นนี้มีความซับซ้อนเป็นพิเศษ เนื่องจากทรัพย์สินที่คู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสทำมาหาได้ร่วมกันจะถือเป็นกรรมสิทธิ์รวม ไม่ใช่สินสมรสตามกฎหมาย  แม้ตามแนวทางของศาลจะถือว่าต่างฝ่ายต่างมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่งก็ตาม

​ที่มาของกรรมสิทธิ์รวมมีผลอย่างยิ่งต่อการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากเจตนาทางธุรกิจอย่างการซื้อขายร่วมกันมักมีแนวโน้มที่จะสามารถตกลงกันได้ง่ายกว่า ในขณะที่ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น การรับมรดกหรือการอยู่กินฉันสามีภรรยา มักจะมีปัจจัยด้านอารมณ์และความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้การเจรจาตกลงกันเองเป็นไปได้ยากกว่า ดังนั้น การใช้ช่องทางทางกฎหมายและการไกล่เกลี่ยโดยผู้เชี่ยวชาญจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในกรณีเหล่านี้

​1.3 สิทธิและหน้าที่ของเจ้าของรวมตามกฎหมาย

​กฎหมายได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของรวมไว้เพื่อใช้ในการจัดการและการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินร่วมกันอย่างเป็นระบบ  สิทธิที่สำคัญ ได้แก่:

  • สิทธิในการใช้สอยและจัดการทรัพย์สิน: เจ้าของรวมแต่ละคนมีสิทธิใช้ทรัพย์สินได้ แต่การใช้นั้นต้องไม่ขัดต่อสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่น  ในการเปลี่ยนแปลงวัตถุที่ประสงค์ หรือการจำหน่าย, จำนำ, จำนองตัวทรัพย์สินทั้งหมด ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน

  • สิทธิในการจำหน่ายส่วนของตน: เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิที่จะจำหน่ายส่วนของตน หรือจำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันส่วนของตนได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่น  แม้การกระทำดังกล่าวอาจทำให้เกิดความยุ่งยากตามมาในภายหลัง โดยเฉพาะเมื่อเจ้าของรวมใหม่เป็นบุคคลภายนอกที่ไม่คุ้นเคย

  • หน้าที่ในการออกค่าใช้จ่าย: เจ้าของรวมทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือกันตามส่วนของตนในการออกค่าจัดการ ค่าภาษีอากร และค่ารักษาทรัพย์สินรวมกันด้วย 

​2. การวิเคราะห์ข้อพิพาทและแนวทางแก้ไข (Dispute Analysis and Resolution Approaches)

​2.1 ข้อพิพาทหลัก: การฟ้องแบ่งกรรมสิทธิ์รวม

​ข้อพิพาทที่พบบ่อยที่สุดในเรื่องกรรมสิทธิ์รวมคือการที่เจ้าของรวมไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการจัดการหรือการแบ่งทรัพย์สิน จนนำไปสู่การฟ้องร้องขอให้ศาลสั่งแบ่งกรรมสิทธิ์  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1363 เจ้าของรวมคนหนึ่งๆ มีสิทธิที่จะเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ตลอดเวลา เว้นแต่จะมีข้อตกลงห้ามแบ่งเกินครั้งละ 10 ปี หรือการเรียกแบ่งในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควร ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของรวมคนอื่นๆ  การพิจารณาว่าเวลาใดเป็น "เวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควร" นั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละคดี ซึ่งศาลจะพิจารณาจากพฤติการณ์โดยรวม

​แนวทางการแบ่งทรัพย์สินที่ศาลจะพิจารณาจะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์การครอบครองที่เกิดขึ้นในทางปฏิบัติ:

  • กรณีที่ยังไม่ได้แบ่งการครอบครองเป็นสัดส่วน: ในสถานการณ์ที่ทรัพย์สินยังไม่ถูกแบ่งแยกเป็นส่วนๆ อย่างชัดเจน การดำเนินการแบ่งจะอิงตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1364  แนวทางที่ศาลจะพิจารณาได้แก่:
    1. ศาลสั่งแบ่งให้เอง: ศาลอาจพิจารณาแบ่งทรัพย์สินให้แก่แต่ละฝ่ายโดยตรง และอาจสั่งให้มีการชดเชยเป็นเงินหากสัดส่วนที่ได้รับไม่เท่ากัน วิธีนี้มักไม่ได้รับความนิยมในทางปฏิบัติ

    1. ประมูลราคากันเอง: ศาลอาจสั่งให้เจ้าของรวมแต่ละคนประมูลราคาซื้อส่วนของคนอื่นๆ วิธีนี้เป็นที่นิยมของศาลเนื่องจากเป็นการช่วยให้ทรัพย์สินยังคงอยู่ในกลุ่มเจ้าของเดิม

    1. ขายทอดตลาด: หากการประมูลกันเองไม่สำเร็จหรือไม่สามารถทำได้ ศาลจะสั่งให้นำทรัพย์สินทั้งหมดออกขายทอดตลาด แล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งตามสัดส่วนของแต่ละคน

  • กรณีที่แบ่งการครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว: หากเจ้าของรวมแต่ละคนได้เข้าอยู่อาศัยและครอบครองทรัพย์สินในส่วนของตนอย่างชัดเจน แม้จะไม่มีเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม แนวทางของศาลจะแตกต่างออกไป  ศาลจะไม่ใช้วิธีการประมูลหรือขายทอดตลาด แต่จะสั่งให้ทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามส่วนที่แต่ละคนครอบครองอยู่จริง โดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาในการทำธุรกรรมที่กรมที่ดิน

​2.2 ข้อพิพาทเฉพาะทางและประเด็นที่ซับซ้อน

​นอกเหนือจากข้อพิพาทการแบ่งกรรมสิทธิ์โดยทั่วไป ยังมีประเด็นที่ซับซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น:

  • การเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายแพ่งกับกฎหมายอาญา: โดยปกติ คดีกรรมสิทธิ์รวมเป็นคดีทางแพ่ง แต่การกระทำบางอย่างของเจ้าของรวมอาจนำไปสู่ความผิดทางอาญาได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เจ้าของรวมคนหนึ่งแอบเอาทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมไปเป็นของตนเองทั้งหมดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมคนอื่น  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 การกระทำดังกล่าวอาจถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 502/2563 ได้ยืนยันแนวทางนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินแม้จะอยู่ในรูปแบบของกรรมสิทธิ์รวมก็ยังได้รับการคุ้มครองทางอาญา.

  • การถูกยึดทรัพย์โดยเจ้าหนี้: หากเจ้าของรวมคนหนึ่งมีหนี้สินและถูกเจ้าหนี้ยึดทรัพย์สินเพื่อขายทอดตลาด เจ้าของรวมคนอื่นๆ อาจพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย เพราะหากยังไม่ได้มีการแบ่งการครอบครองเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจต้องนำทรัพย์สินทั้งแปลงออกขายทอดตลาด ซึ่งจะทำให้เจ้าของรวมคนอื่นๆ สูญเสียสิทธิในทรัพย์สินของตนได้ 

​3. กระบวนการดำเนินคดีและการไกล่เกลี่ย (Litigation and Mediation Process)

​3.1 การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนฟ้องคดี

​ในระบบยุติธรรมปัจจุบัน การไกล่เกลี่ยถือเป็นช่องทางการแก้ไขข้อพิพาททางเลือกที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในคดีแพ่งที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น คดีกรรมสิทธิ์รวมที่มาจากมรดก  ศาลยุติธรรมได้ส่งเสริมให้มีการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องคดีเพื่อลดปริมาณคดีและช่วยให้คู่กรณีหาทางออกร่วมกันโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาลที่ยืดเยื้อและมีค่าใช้จ่ายสูง

​ประโยชน์ของการไกล่เกลี่ยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ยังรวมถึงการช่วยรักษาสัมพันธภาพที่ดีระหว่างคู่กรณี  ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในครอบครัวหรือเครือญาติ  ผู้ประนีประนอมประจำศาลที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยเป็นคนกลางในการเจรจาเพื่อให้คู่กรณีได้มีโอกาสพูดคุยและหาข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้  ซึ่งผลลัพธ์ของการไกล่เกลี่ยที่สำเร็จจะเป็นข้อตกลงประนีประนอมยอมความที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายเสมือนเป็นคำพิพากษาของศาล

​3.2 ขั้นตอนการดำเนินคดีในศาล

​หากการไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล เจ้าของรวมที่ไม่สามารถตกลงกันได้สามารถดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลได้  ขั้นตอนการดำเนินคดีในศาลโดยสังเขปประกอบด้วย:

  • การเตรียมคำฟ้อง: ทนายความจะช่วยร่างคำฟ้องซึ่งจะต้องบรรยายมูลเหตุแห่งคดีอย่างชัดเจน โดยระบุถึงการเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์สินและการที่จำเลยไม่ยอมแบ่งแยกทรัพย์สินตามข้อตกลง หรือเมื่อไม่สามารถตกลงกันได้  คำขอท้ายฟ้องจะต้องสอดคล้องกับแนวทางการพิจารณาของศาล โดยมักจะขอให้ศาลสั่งแบ่งทรัพย์สินตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ คือ การแบ่งกันเองก่อน หากไม่ได้ให้ประมูลราคาระหว่างกัน และหากไม่ได้อีกจึงขอให้ขายทอดตลาด

  • การดำเนินกระบวนพิจารณา: ในระหว่างการพิจารณาคดี ศาลอาจยังคงพยายามไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งเป็นแนวทางที่คดีลักษณะนี้มักจะจบลง  หากไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลจะเข้าสู่ขั้นตอนการสืบพยานหลักฐานและพิจารณาพิพากษาคดีตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ปรากฏ

​4. บทบาทและหน้าที่เชิงกลยุทธ์ของทนายความ (Strategic Role of the Lawyer)

​บทบาทของทนายความในคดีกรรมสิทธิ์รวมไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การเป็นตัวแทนว่าความในศาลเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงบทบาทสำคัญในฐานะ "นักกลยุทธ์" และ "ที่ปรึกษา" ที่จะนำพาคู่กรณีไปสู่ทางออกที่ดีที่สุด

​4.1 การให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์

​ก่อนที่จะมีการฟ้องร้อง ทนายความมีหน้าที่สำคัญในการให้คำปรึกษาแก่ลูกความอย่างครอบคลุม  โดยทนายความจะวิเคราะห์ข้อเท็จจริงของคดีอย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจที่มาของข้อพิพาทและประเมินความเสี่ยงและโอกาสในทางคดี  การวิเคราะห์นี้รวมถึงการประเมินว่าข้อพิพาทนั้นมีแนวโน้มที่จะยุติลงด้วยการไกล่เกลี่ยหรือต้องเข้าสู่กระบวนการศาล  ทนายความที่ดีจะนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายและเหมาะสมที่สุดให้แก่ลูกความ เพื่อให้ลูกความสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางที่สอดคล้องกับความต้องการและสภาพการณ์ของตนเองที่สุด

​4.2 การดำเนินการทางกฎหมาย

​เมื่อลูกความตัดสินใจดำเนินคดีในศาล ทนายความจะรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการทางกฎหมายอย่างครบวงจร  ได้แก่:

  • การจัดเตรียมเอกสาร: ร่างคำฟ้องและเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามหลักกฎหมาย  รวมถึงการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้คดี

  • การเป็นตัวแทนในศาล: ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในศาลแทนลูกความ ทั้งการซักถามพยาน การนำเสนอข้อเท็จจริง และการแถลงการณ์สรุปต่อศาล

​4.3 บทบาทในการเจรจาและไกล่เกลี่ย

​ในคดีกรรมสิทธิ์รวมที่มักมีปัจจัยส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ทนายความจะรับบทบาทเป็นตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ย  ทนายความมีหน้าที่ประสานงานระหว่างคู่ความและผู้ประนีประนอมเพื่อนำไปสู่ข้อตกลงที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และที่สำคัญคือต้องสามารถร่างสัญญาประนีประนอมยอมความที่รัดกุมและเป็นธรรมต่อลูกความ เพื่อให้ข้อตกลงนั้นมีผลสมบูรณ์ในทางกฎหมายและสามารถบังคับคดีได้

​4.4 การดำเนินการทางธุรกรรมหลังคดีความ

​หลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคู่กรณีได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว บทบาทของทนายความยังไม่สิ้นสุด  ทนายความมีหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมที่ดิน เพื่อดำเนินการตามคำพิพากษา เช่น การรังวัดแบ่งแยกที่ดิน และการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ใหม่ เพื่อให้การบังคับคดีเป็นไปอย่างสมบูรณ์และลูกความได้รับสิทธิตามที่พึงได้

​สรุปและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์

​จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้วิเคราะห์ สรุปได้ว่ากรรมสิทธิ์รวมเป็นประเด็นทางกฎหมายที่มีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน โดยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การแบ่งทรัพย์สิน แต่ยังเชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ส่วนตัวและอาจนำไปสู่ข้อพิพาททางอาญาได้หากมีการกระทำโดยทุจริต การฟ้องร้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นสิทธิที่เจ้าของรวมทุกคนพึงมี แต่การแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในแนวทางของศาลที่ให้ความสำคัญกับการไกล่เกลี่ยเป็นอันดับแรกก่อนจะพิจารณาการขายทอดตลาด

​ในบริบทนี้ บทบาทของทนายความจึงขยายขอบเขตจากเพียงแค่การเป็น "นักกฎหมาย" ไปสู่การเป็น "นักวางแผน" ที่ต้องใช้ความรู้ทางกฎหมายควบคู่ไปกับทักษะในการเจรจาต่อรองและการไกล่เกลี่ย เพื่อนำพาลูกความไปสู่ทางออกที่ยั่งยืนที่สุด การเลือกทนายความที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทควบคู่ไปกับการว่าความจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาข้อพิพาทกรรมสิทธิ์รวม เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้านและเป็นธรรมที่สุดในทุกมิติของชีวิตและกฎหมาย

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend



วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2568

กฎหมาย และกระบวนการในคดีมรดก

 

กฎหมาย และกระบวนการในคดีมรดก



ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับมรดกในบริบทกฎหมาย

​ในระบบกฎหมายของประเทศไทย กฎหมายมรดกเป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการจัดการทรัพย์สินและสิทธิของบุคคลภายหลังการถึงแก่กรรม กองมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้นไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ทรัพย์สินในรูปแบบที่จับต้องได้ เช่น ที่ดิน บ้าน หรือยานพาหนะเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดจนสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่าง ๆ ที่มีอยู่ขณะถึงแก่ความตาย ยกเว้นสิทธิและหน้าที่ซึ่งโดยสภาพเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้  ซึ่งรวมถึงหนี้สินที่ผู้ตายได้ก่อไว้ด้วย การทำความเข้าใจองค์ประกอบของกองมรดกนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญอย่างยิ่ง

​การจัดการมรดกอย่างถูกต้องและเป็นธรรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นปัจจัยที่ช่วยให้เจตนารมณ์ของผู้ตายได้รับการเคารพและดำเนินการอย่างราบรื่นตามที่กฎหมายกำหนดไว้  นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการป้องกันความขัดแย้งและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในหมู่ทายาทในอนาคต  หากไม่มีการวางแผนหรือจัดการที่ชัดเจน ทรัพย์สินที่ควรจะส่งต่อเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังอาจกลายเป็นต้นตอของความแตกแยกในครอบครัวได้ การจัดทำพินัยกรรมหรือการกำหนดผู้จัดการมรดกที่เหมาะสม จึงเป็นแนวทางเชิงรุกที่ช่วยลดความยุ่งยากและภาระทางกฎหมายให้กับทายาทได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่ 1: หลักการและลำดับการแบ่งมรดกตามกฎหมาย

ประเภทของทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

​กฎหมายมรดกของไทยได้จำแนกประเภทของทายาทไว้ 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ทายาทโดยธรรม (ทายาทที่มีสิทธิตามกฎหมาย) และ ผู้รับพินัยกรรม  การจำแนกประเภทนี้เป็นไปตามหลักการที่กำหนดไว้ในมาตรา 1603 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ซึ่งระบุว่ากองมรดกย่อมตกทอดแก่ทายาทโดยสิทธิตามกฎหมายหรือโดยพินัยกรรม

​ทายาทโดยธรรม คือบุคคลที่กฎหมายกำหนดให้มีสิทธิในการรับมรดกจากผู้ตายโดยอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องมีการจัดทำพินัยกรรมใด ๆ  สิทธิในการรับมรดกของทายาทกลุ่มนี้เป็นไปตามความสัมพันธ์ทางสายเลือดและความใกล้ชิดกับผู้เสียชีวิต  ซึ่งกฎหมายได้กำหนดลำดับการรับมรดกไว้อย่างชัดเจน

​ในทางกลับกัน ผู้รับพินัยกรรม คือบุคคลที่เจ้ามรดกได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมอย่างชัดเจนว่าจะเป็นผู้รับมรดกของตน  บุคคลเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับผู้ตาย และอาจเป็นใครก็ได้ตามเจตนารมณ์ของผู้ตาย  การมีอยู่ของพินัยกรรมจึงมีผลโดยตรงต่อการกำหนดตัวผู้รับมรดก

ลำดับทายาทโดยธรรมและสิทธิรับมรดก

​หากผู้ตายไม่ได้จัดทำพินัยกรรมไว้ หรือพินัยกรรมมีข้อบกพร่องจนเป็นโมฆะ กฎหมายจะกำหนดให้มีการแบ่งมรดกตามหลักเกณฑ์ของทายาทโดยธรรม ซึ่งมีทั้งหมด 6 ลำดับ  โดยแต่ละลำดับมีสิทธิรับมรดกก่อนหลังตามหลักการที่ว่าทายาทลำดับที่สูงกว่าจะมีสิทธิได้รับมรดกก่อน และทายาทลำดับถัดไปจะได้รับสิทธิก็ต่อเมื่อไม่มีทายาทในลำดับต้น ๆ เลย  หากไม่มีทายาทในลำดับใด ๆ เลย กองมรดกทั้งหมดจะตกเป็นของแผ่นดิน

​ลำดับของทายาทโดยธรรมมีดังนี้:

  1. ผู้สืบสันดาน: หมายถึง บุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรอง และบุตรบุญธรรม

  1. บิดามารดา: ต้องเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย

  1. พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน: พี่น้องสายเลือดเดียวกันโดยแท้

  1. พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน: พี่น้องต่างมารดาหรือต่างบิดา

  1. ปู่ ย่า ตา ยาย: บุพการีของบิดามารดา

  1. ลุง ป้า น้า อา: พี่น้องของบิดาหรือมารดา

​นอกจากทายาท 6 ลำดับข้างต้นแล้ว คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีสิทธิเป็นทายาทโดยธรรมเช่นกัน  และสิทธิในการรับมรดกของคู่สมรสจะแตกต่างกันไปตามลำดับของทายาทที่ยังคงมีชีวิตอยู่ร่วมกับคู่สมรส  ซึ่งสามารถสรุปเป็นภาพรวมได้ในตารางด้านล่างนี้:

หนี้สินของผู้ตาย: ความรับผิดชอบของทายาท

​ประเด็นที่มักสร้างความกังวลให้แก่ทายาทคือเรื่องหนี้สินของผู้ตาย เนื่องจากหนี้สินถือเป็นส่วนหนึ่งของกองมรดก  และทายาทที่ได้รับมรดกจะต้องรับผิดชอบในการชำระหนี้เหล่านั้น  อย่างไรก็ตาม กฎหมายมรดกของไทยมีหลักการที่ชัดเจนในการคุ้มครองทายาทจากภาระหนี้สินที่ไม่ใช่ของตนเอง หลักการนี้บัญญัติไว้ในมาตรา 1601 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกำหนดว่าทายาทไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน

​ความรับผิดชอบที่จำกัดนี้หมายความว่า หากเจ้ามรดกมีหนี้สินจำนวน 6 ล้านบาท แต่มีทรัพย์สินในกองมรดกเพียง 5 ล้านบาท ทายาทจะต้องรับผิดชอบชำระหนี้เพียงแค่ 5 ล้านบาทตามมูลค่าของทรัพย์มรดกที่ได้รับเท่านั้น ส่วนหนี้สินอีก 1 ล้านบาทที่เหลือจะถือเป็นหนี้สูญ และเจ้าหนี้ไม่สามารถติดตามทวงถามจากทรัพย์สินส่วนตัวของทายาทได้  หากผู้ตายไม่มีทรัพย์สินมรดกเหลืออยู่เลย แต่มีหนี้สิน ทายาทก็ไม่ต้องรับผิดชอบในหนี้เหล่านั้นด้วยเช่นกัน  หลักการนี้จึงเป็นกลไกทางกฎหมายที่สำคัญในการป้องกันไม่ให้ทายาทต้องเผชิญกับภาระหนี้สินที่ล้นพ้นตัว

ประเภทของพินัยกรรมและข้อกำหนดทางกฎหมาย

​การทำพินัยกรรมเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของผู้ตายในการกำหนดตัวผู้รับมรดกและทรัพย์สินที่จะส่งมอบให้ได้อย่างชัดเจน  พินัยกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 รูปแบบหลัก  ได้แก่:

  1. พินัยกรรมแบบธรรมดา: ต้องทำเป็นหนังสือ จะเขียนหรือพิมพ์ก็ได้ ระบุวัน เดือน ปี และผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คนพร้อมกัน ซึ่งพยานต้องลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วย


  1. พินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับ: เป็นวิธีการที่เรียบง่ายที่สุด โดยผู้ทำพินัยกรรมต้องเขียนด้วยลายมือของตนเองทั้งหมด ระบุวัน เดือน ปี และลงลายมือชื่อของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีพยานก็ได้


  1. พินัยกรรมทำเป็นเอกสารฝ่ายเมือง: ผู้ทำพินัยกรรมแจ้งเจตนารมณ์ต่อเจ้าพนักงาน เช่น นายอำเภอหรือผู้อำนวยการเขต ณ อำเภอหรือเขตใดก็ได้ โดยมีพยานอย่างน้อย 2 คนร่วมรับฟังและลงลายมือชื่อร่วมกับเจ้าพนักงาน


  1. พินัยกรรมแบบเอกสารลับ: ผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อในพินัยกรรมที่ปิดผนึกแล้วไปแสดงต่อเจ้าพนักงานและพยาน 2 คน เพื่อให้เจ้าพนักงานและพยานลงลายมือชื่อบนรอยผนึก และเจ้าพนักงานรับรองวัน เดือน ปี ที่ยื่น


  1. พินัยกรรมทำด้วยวาจา: ใช้ในกรณีที่มีเหตุการณ์พิเศษหรือเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ไม่สามารถทำพินัยกรรมในรูปแบบอื่นได้ เช่น เกิดโรคระบาดหรือสงคราม ผู้ทำสามารถแสดงเจตนาต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คน ซึ่งพยานจะต้องรีบไปแจ้งข้อความนั้นแก่เจ้าพนักงานโดยเร็วที่สุด


​ถึงแม้ว่าพินัยกรรมจะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการจัดการมรดก แต่ความซับซ้อนและรายละเอียดของกฎหมายก็เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้พินัยกรรมนั้นไม่สมบูรณ์และตกเป็นโมฆะได้ในที่สุด  ข้อควรระวังที่สำคัญคือผู้ทำพินัยกรรมต้องมีอายุอย่างน้อย 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถในขณะที่ทำพินัยกรรม  นอกจากนี้ ผู้รับพินัยกรรมหรือคู่สมรสของผู้รับพินัยกรรมก็ไม่สามารถเป็นพยานในพินัยกรรมได้  การขาดความเข้าใจในหลักเกณฑ์เหล่านี้อาจทำให้พินัยกรรมที่ตั้งใจทำขึ้นอย่างดีกลับไม่มีผลทางกฎหมาย และนำไปสู่ข้อโต้แย้งในหมู่ทายาทว่าใครมีสิทธิรับมรดกกันแน่  ผลที่ตามมาคือมรดกต้องกลับไปแบ่งตามหลักการของทายาทโดยธรรม ซึ่งอาจขัดต่อเจตนารมณ์เดิมของผู้ตายโดยสิ้นเชิง สถานการณ์เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าการทำพินัยกรรมที่ผิดพลาดไม่ได้ช่วยลดปัญหา แต่กลับสร้างความยุ่งยากและนำไปสู่การฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยความถูกต้องของพินัยกรรมนั้น ๆ

ส่วนที่ 2: การจัดการมรดกและกระบวนการทางคดี

การตั้งผู้จัดการมรดก

​การจัดการกองมรดกให้ลุล่วงไปได้นั้น จำเป็นต้องมีบุคคลที่ทำหน้าที่รวบรวมทรัพย์สิน ชำระหนี้สินของผู้ตาย และแบ่งทรัพย์สินให้แก่ทายาทตามที่กฎหมายหรือพินัยกรรมกำหนด ซึ่งบุคคลนั้นเรียกว่า “ผู้จัดการมรดก”  ผู้จัดการมรดกสามารถได้รับการแต่งตั้งโดยข้อกำหนดในพินัยกรรม หรือในกรณีที่ไม่มีพินัยกรรมหรือทายาทไม่สามารถตกลงกันได้ ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียคนใดคนหนึ่งสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกได้

​ขั้นตอนการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกมีหลายขั้นตอน  เริ่มจากการเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน จากนั้นจึงยื่นคำร้องต่อศาลในเขตที่ผู้ตายมีภูมิลำเนาในขณะถึงแก่ความตาย  ศาลจะให้ผู้ร้องระบุรายละเอียดของทรัพย์สินและรายชื่อทายาททุกคนเพื่อพิจารณา จากนั้นจะมีการนัดไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ร้องและรับฟังความยินยอมจากทายาทคนอื่น ๆ  หากไม่มีการคัดค้านและศาลเห็นว่าเหมาะสม ก็จะมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกต่อไป

​แม้กระบวนการนี้จะดูเป็นขั้นตอนปกติ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มักเป็นจุดเริ่มต้นของข้อพิพาทที่ร้ายแรง หากทายาทไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก  หรือหากผู้จัดการมรดกที่ได้รับการแต่งตั้งแล้วไม่ดำเนินการตามหน้าที่อย่างโปร่งใส เช่น มีการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์ส่วนตน  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทายาทคนอื่น ๆ ต้องยื่นฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลสั่งถอนผู้จัดการมรดกในภายหลังได้  ดังนั้น การเลือกผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาในอนาคต

​ต่อไปนี้คือรายการเอกสารที่สำคัญที่ใช้ในการยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก:

ข้อพิพาทและคดีแบ่งมรดก

​เมื่อทายาทไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องการแบ่งทรัพย์มรดก หรือมีผู้ที่ปิดบังซ่อนเร้นทรัพย์สิน ทายาทคนอื่น ๆ มีสิทธิที่จะฟ้องคดีมรดกเพื่อขอแบ่งทรัพย์สินได้ตามกฎหมาย  ประเด็นหลักในคดีมรดกที่ทายาทฟ้องร้องขอแบ่งทรัพย์คือ การยืนยันความเป็นทายาท, การระบุรายละเอียดทรัพย์สินที่ครบถ้วน, และการขอให้ศาลพิพากษาแบ่งทรัพย์สินตามสัดส่วนที่แต่ละคนควรได้รับ

​เรื่องอายุความในการฟ้องคดีมรดกเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากทายาทไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดอาจเสียสิทธิในการเรียกร้องได้ โดยหลักการทั่วไปแล้ว อายุความฟ้องคดีมรดกคือ 10 ปีนับแต่เจ้ามรดกถึงแก่กรรม ตามมาตรา 1754 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังกำหนดอายุความที่สั้นกว่าไว้ด้วย เช่น หากทายาทรู้ว่ามีทายาทคนอื่นยึดถือหรือครอบครองทรัพย์มรดกไปโดยไม่ชอบ ก็จะต้องฟ้องร้องภายใน 1 ปีนับแต่ที่ได้รู้ถึงการครอบครองนั้น  นอกจากนี้ เจ้าหนี้ของผู้ตายก็มีอายุความในการฟ้องร้องให้ทายาทชำระหนี้ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รู้ถึงการตายของลูกหนี้  ความซับซ้อนของอายุความเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ากฎหมายมุ่งหวังให้มีการจัดการมรดกอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม และผู้ที่ละเลยไม่ดำเนินการในทันทีเมื่อมีเหตุอันควรสงสัย อาจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะเสียสิทธิในการฟ้องร้องไปในที่สุด

​สำหรับทรัพย์สินบางประเภทที่แบ่งได้ยาก เช่น ที่ดินและบ้าน เมื่อทายาทไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครจะครอบครองทรัพย์สินเหล่านั้น  ศาลมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่น่าสนใจ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้วางบรรทัดฐานไว้ ศาลจะให้โอกาสทายาทในการประมูลซื้อทรัพย์สินนั้นกันเองก่อนเป็นอันดับแรก หากทายาทไม่สามารถตกลงหรือประมูลกันได้ จึงจะนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดแก่บุคคลภายนอกและแบ่งเงินสุทธิให้แก่ทายาทตามส่วนที่แต่ละคนพึงได้รับ  แนวทางนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของศาลในการหาทางออกที่คำนึงถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวเป็นสำคัญ โดยให้โอกาสในการรักษามรดกไว้ในครอบครัวก่อนที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ไปสู่บุคคลภายนอก

ส่วนที่ 3: บทบาทและหน้าที่ของทนายความในคดีมรดก

ความสำคัญของการมีทนายความคดีมรดก

​ในคดีมรดกที่เต็มไปด้วยข้อกำหนดทางกฎหมายที่ซับซ้อนและข้อพิพาททางอารมณ์ในหมู่ทายาท การมีทนายความที่มีความเชี่ยวชาญจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง  ทนายความคดีมรดกไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่การเป็นตัวแทนในชั้นศาล แต่ยังเป็นผู้คุ้มครองสิทธิของทายาทและกองมรดกให้ได้รับการจัดการอย่างถูกต้องและยุติธรรม  การว่าจ้างทนายความยังช่วยลดภาระและประหยัดเวลาให้กับทายาทในกระบวนการทางกฎหมายที่ยุ่งยากทั้งหมด ตั้งแต่การรวบรวมเอกสาร การยื่นคำร้อง จนถึงการเบิกความที่ศาล  นอกจากนี้ ทนายความยังสามารถทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพื่อลดความขัดแย้งและรักษาสัมพันธภาพในครอบครัวไว้

บริการหลักของทนายความคดีมรดก

​ทนายความคดีมรดกมีหน้าที่ให้บริการที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนของกระบวนการ ดังนี้:

  • การให้คำปรึกษาและวางแผน: ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายมรดกอย่างละเอียด รวมถึงการจัดทำพินัยกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และการวางแผนจัดการทรัพย์สิน


  • การดำเนินการทางกฎหมาย: ดำเนินการยื่นคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดกแทนทายาทในศาล


  • การจัดการข้อพิพาท: ดำเนินการฟ้องร้องผู้จัดการมรดกที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่  ร้องคัดค้านพินัยกรรมที่มีข้อสงสัยว่าไม่ถูกต้อง  และเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างทายาท


  • การโอนกรรมสิทธิ์: ให้ความช่วยเหลือในการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน บ้าน หรือรถยนต์ ให้กับทายาทได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย


​การพิจารณาว่าควรดำเนินการด้วยตนเองหรือมอบหมายให้ทนายความเป็นผู้จัดการมรดกนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความซับซ้อนของแต่ละกรณี สามารถเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียได้ดังนี้:

บทสรุป: ข้อเสนอแนะและสรุปเชิงลึก

​การจัดการมรดกเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน ไม่ได้มีเพียงแค่การแบ่งทรัพย์สิน แต่ยังเกี่ยวข้องกับสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบที่ส่งต่อจากผู้ตายไปสู่ทายาท กฎหมายมรดกของไทยมีหลักการที่ชัดเจนในการคุ้มครองทายาท โดยเฉพาะหลักการจำกัดความรับผิดในเรื่องหนี้สินที่ทายาทไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ได้รับ  นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการจัดการทรัพย์สินที่ถูกต้องตามลำดับของทายาทโดยธรรมหากไม่มีพินัยกรรมที่สมบูรณ์

​จากข้อมูลที่ได้นำเสนอ การวางแผนมรดกเชิงรุกถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต  การทำพินัยกรรมที่ถูกต้องตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนดจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าทรัพย์สินจะตกทอดไปตามเจตนารมณ์ของผู้ตายอย่างแท้จริง  ในทางกลับกัน การทำพินัยกรรมที่ผิดพลาดก็อาจสร้างปัญหาได้มากกว่าการไม่มีพินัยกรรมเลย

​สำหรับสถานการณ์ที่เกิดข้อพิพาทขึ้นแล้ว หรือทรัพย์สินมีความซับซ้อน การใช้บริการทนายความผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้กระบวนการทางกฎหมายดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรม การทำความเข้าใจในประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญ เช่น อายุความในการฟ้องร้อง และแนวทางการแก้ปัญหาในกรณีที่ทายาทไม่สามารถตกลงกันได้ ถือเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการมรดกให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีและเป็นธรรมที่สุดสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend


โพสต์แนะนำ

ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา

ความรับผิดทางอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของผู้เช่าซื้อรถยนต์: เส้นแบ่งระหว่างการผิดสัญญาทางแพ่งและการเบียดบังโดยทุจริต ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ​รายง...