แผนการค้นคว้าขั้นตอนทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วน: กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง
1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย คำวินิจฉัยดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบเชิงกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากศาลได้กำหนดให้การพ้นจากตำแหน่งมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้ น.ส. แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
การพ้นจากตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะไม่ได้ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองโดยทันที เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีชุดเดิมยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในฐานะ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม สถานะของรัฐบาลรักษาการมีข้อจำกัดทางอำนาจที่สำคัญ ทำให้ไม่สามารถผลักดันนโยบายหรือโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดใหม่ได้ สิ่งนี้ได้นำไปสู่ภาวะสุญญากาศทางนโยบาย ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดหุ้น
รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานะทางกฎหมายที่ซับซ้อนภายหลังคำวินิจฉัยของศาล และนำเสนอแผนการดำเนินการเชิงรุกเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยได้จัดทำแผนการค้นคว้าขั้นตอนทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา ได้แก่ ความชอบด้วยกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ความยืดเยื้อของกระบวนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และปัจจัยทางการเมืองที่อาจขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล รายงานจึงได้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่ การประเมินผลกระทบทางกฎหมายอย่างเร่งด่วน การกำหนดแผนการเจรจาทางการเมืองที่ชัดเจน และการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง
2. การวิเคราะห์เชิงลึก: ผลทางกฎหมายจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
2.1 รายละเอียดของคำวินิจฉัยและผลทางกฎหมาย
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 มีต้นกำเนิดมาจากคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 36 คน ที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ โดยมีข้อกล่าวหาว่า น.ส. แพทองธาร ขาดคุณสมบัติและมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในเวลา 15.00 น. ของวันที่ 29 สิงหาคม 2568 และมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้ น.ส. แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยศาลเห็นว่าการกระทำของ น.ส. แพทองธาร เป็นการกระทำที่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวทางการเมืองเหนือผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ และเป็นการลดทอนเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและของประเทศในเวทีนานาชาติ ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ผลของคำวินิจฉัยนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตามรัฐธรรมนูญด้วย
2.2 การวิเคราะห์ผลย้อนหลังของคำวินิจฉัย
หนึ่งในประเด็นที่สร้างความซับซ้อนทางกฎหมายอย่างมากคือการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีมีผลย้อนหลัง (Retroactive Effect) ไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลได้มีคำสั่งให้ น.ส. แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว ตามหลักการของคำวินิจฉัยนี้ สถานะของความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส. แพทองธาร สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และในฐานะที่คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง สถานะของคณะรัฐมนตรีเต็มคณะจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันเดียวกันด้วย
เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งความคลุมเครือทางกฎหมายอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับมติคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 29 สิงหาคม 2568 ในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่า น.ส. แพทองธาร จะหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราว แต่คณะรัฐมนตรีชุดเดิมโดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและมีมติต่าง ๆ ที่สำคัญ ตามกฎหมายแล้ว คณะรัฐมนตรีรักษาการมีข้อจำกัดด้านอำนาจตามมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ โดยห้ามอนุมัติงานหรือโครงการที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไป หรือสร้างภาระผูกพันทางการเงิน เมื่อศาลวินิจฉัยให้การพ้นจากตำแหน่งมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 คำถามทางกฎหมายที่สำคัญจึงเกิดขึ้นว่ามติที่ออกมาในช่วงเวลานั้นถือเป็นการกระทำของ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" ที่มีข้อจำกัดทางอำนาจหรือไม่ หากมีการตีความว่าอำนาจเต็มของคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 แล้ว มติที่เข้าข่ายการกระทำที่เกินอำนาจของคณะรัฐมนตรีรักษาการอาจถูกโต้แย้งหรือเพิกถอนในภายหลังได้ สิ่งนี้สร้างความเสี่ยงทางกฎหมายสูงสำหรับทั้งฝ่ายบริหารและภาคธุรกิจที่ได้รับอนุมัติโครงการหรือสัญญาต่าง ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว
2.3 ผลกระทบทางกฎหมายต่อมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา
สถานะของ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" มีบทบาทสำคัญในการป้องกันสุญญากาศทางการเมืองและรักษาความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญได้กำหนดข้อจำกัดอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลรักษาการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือสร้างภาระผูกพันให้กับรัฐบาลใหม่ในอนาคต
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (ก.ค. - ส.ค. 2568) ที่คณะรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาวะที่นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ มติหลายประการได้ถูกพิจารณาและอนุมัติ หากมติเหล่านี้มีลักษณะเป็นการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ การใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือการกระทำใด ๆ ที่เข้าข่าย "การสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป" ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายในอนาคต ความเสี่ยงนี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการที่คำวินิจฉัยของศาลมีผลย้อนหลัง ทำให้มติทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 อาจถูกพิจารณาใหม่ภายใต้กรอบอำนาจที่จำกัดของรัฐบาลรักษาการ สิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการทบทวนอย่างเร่งด่วนโดยฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อป้องกันปัญหาการฟ้องร้องทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
3. กรอบอำนาจและหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีรักษาการ
3.1 สถานะทางกฎหมายและการทำหน้าที่
ภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ รัฐธรรมนูญมาตรา 168 ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ในฐานะ “คณะรัฐมนตรีรักษาการ” โดยในระหว่างนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้ก่อนหน้า จะรับหน้าที่เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน และป้องกันมิให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้น
3.2 ข้อจำกัดทางอำนาจ (The "Lame Duck" Conundrum)
แม้ว่าคณะรัฐมนตรีรักษาการจะมีอำนาจในการบริหารงานประจำ แต่รัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดข้อจำกัดที่สำคัญตามมาตรา 169 เพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขตในช่วงเปลี่ยนผ่าน ข้อจำกัดที่สำคัญ ได้แก่:
- ห้ามอนุมัติงานหรือโครงการที่สร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
- ห้ามอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง
- ห้ามแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของรัฐบาลใหม่
ภาวะที่รัฐบาลมีอำนาจจำกัดเช่นนี้ได้นำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า "สุญญากาศทางนโยบาย" (Policy Vacuum) แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะสามารถอุดช่องโหว่ด้าน "สุญญากาศทางการเมือง" ได้ แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถเดินหน้าผลักดันนโยบายสำคัญหรือโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการอนุมัติใหม่ได้อย่างเต็มที่ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความล่าช้าของนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ เช่น โครงการ Digital Wallet ซึ่งมีโอกาสเดินหน้าต่อก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็ม ความล่าช้าดังกล่าวยิ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาคเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากปฏิกิริยาของตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงทันทีหลังมีคำวินิจฉัย แม้ว่าสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะระบุว่าปัญหาหลักอยู่ที่โครงสร้างเศรษฐกิจมากกว่าการเมืองโดยตรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม ยิ่งกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าออกไป ภาวะนโยบายที่ชะงักงันก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยากลำบาก
4. แผนและไทม์ไลน์การจัดตั้งรัฐบาลใหม่
4.1 กระบวนการทางรัฐสภา
ภายหลังการพ้นจากตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ขั้นตอนสำคัญลำดับถัดไปคือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 272 การพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องกระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
การลงคะแนนจะกระทำโดยเปิดเผยด้วยวิธีการขานชื่อเรียงตามตัวอักษร โดยผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งปัจจุบันคือ 376 เสียงขึ้นไป หากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ก่อนการเลือกตั้งไม่สำเร็จ สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (ประมาณ 500 เสียง) อาจมีมติให้เสนอชื่อบุคคลนอกบัญชีรายชื่อได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เพิ่มความยืดหยุ่นในการหาทางออกทางการเมืองแต่ก็อาจนำมาซึ่งความยืดเยื้อได้เช่นกัน
4.2 การวิเคราะห์ตัวแปรทางการเมืองและเงื่อนไขสำคัญ
กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในครั้งนี้มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง เนื่องจากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศเงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
- นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการทั่วไปใหม่
- คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง
- พรรคประชาชนยืนยันที่จะไม่ร่วมรัฐบาล และจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านต่อไป
เงื่อนไขเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่กำลังรวมตัวกันอยู่ อาจไม่มีเสียง ส.ส. เพียงพอที่จะรวมกับเสียง ส.ว. เพื่อให้ได้ถึง 376 เสียง หากพรรคร่วมรัฐบาลต้องการเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชนเพื่อ "ผ่าทางตัน" ก็จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้หรือไม่ หากยอมรับ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในครั้งนี้อาจกลายเป็นเพียง "รัฐบาลเฉพาะกิจ" ที่มีอายุสั้นและมีภารกิจหลักในการยุบสภาและทำประชามติ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะยาว
4.3 กรอบเวลาเชิงคาดการณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
แม้ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคเศรษฐกิจ เช่น สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) จะแสดงความคาดหวังให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น แต่ในทางกฎหมาย รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายหลังการเลือกนายกรัฐมนตรี การไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่ความยืดเยื้อทางการเมือง หากการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้ตั้งแต่การโหวตครั้งแรก ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมือง ทำให้สถานการณ์ความไม่แน่นอนดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน
5. การประเมินความเสี่ยงและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์
5.1 ความเสี่ยงที่สำคัญ
การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในครั้งนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องได้รับการประเมินและบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน ได้แก่:
- ความเสี่ยงทางกฎหมาย: คำวินิจฉัยที่มีผลย้อนหลังทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางกฎหมายต่อมติคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 29 สิงหาคม 2568 ความเป็นไปได้ที่จะมีการยื่นฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนมติหรือการกระทำเหล่านั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง.
- ความเสี่ยงทางการเมือง: หากการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถรวมเสียงได้ถึง 376 เสียงในการโหวตครั้งแรก อาจนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางการเมือง (Political Impasse) ที่ยืดเยื้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศโดยรวม.
- ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: ภาวะสุญญากาศทางนโยบายที่ยืดเยื้ออันเป็นผลมาจากข้อจำกัดของรัฐบาลรักษาการ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ ทำให้การดำเนินนโยบายที่สำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก
5.2 ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนควรพิจารณาข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ดังต่อไปนี้:
- ด้านกฎหมาย: จัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อทบทวนและประเมินความชอบด้วยกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และเตรียมแผนรับมือหากมีการยื่นฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนมติเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.
-
ด้านการเมือง:
- ฝ่ายที่พยายามจัดตั้งรัฐบาลควรมีการประเมินสถานการณ์และจำนวนเสียงอย่างรอบคอบ เพื่อให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างราบรื่น
- ควรมีการเตรียม "แผนสอง" หากการโหวตในครั้งแรกไม่สำเร็จ โดยอาจพิจารณาการเจรจาอย่างจริงจังกับพรรคการเมืองอื่น ๆ
- พิจารณาอย่างรอบคอบถึงเงื่อนไขของพรรคประชาชน ว่าจะยอมรับหรือไม่ และผลกระทบที่ตามมาต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะสั้นและระยะยาว.
- ด้านการสื่อสาร: จัดทำแผนการสื่อสารที่โปร่งใสและเป็นเอกภาพเพื่อสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชนและนานาชาติ โดยชี้แจงสถานะทางกฎหมายปัจจุบันของรัฐบาล และยืนยันว่ากลไกทางรัฐสภายังคงทำงานเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วที่สุด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น