กฎหมายการกู้ยืมเงิน, ข้อพิพาทที่พบบ่อย และบทบาทของทนายความ
รายงานฉบับนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์ทางกฎหมายของการกู้ยืมเงินในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจหลักเกณฑ์สำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) และพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องซึ่งมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน การวิเคราะห์ครอบคลุมองค์ประกอบของสัญญา, การกำหนดอัตราดอกเบี้ย, อายุความในการฟ้องร้อง, และการปรับปรุงกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ค้ำประกัน นอกจากนี้ ยังได้สำรวจถึงบทบาทของหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการแก้ไขข้อพิพาทในยุคดิจิทัล และแนวทางการระงับข้อพิพาทที่หลากหลายสำหรับคู่กรณี
การศึกษาพบว่ากฎหมายไทยมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเป็นธรรมและป้องกันการเอารัดเอาเปรียบ โดยเฉพาะการออกพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ที่กำหนดโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำความผิด และการแก้ไขกฎหมายค้ำประกันที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ค้ำประกันมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อเสนอแนะหลักจากรายงานฉบับนี้คือ การให้ความสำคัญกับการใช้กระบวนการทางกฎหมายเชิงรุก โดยเฉพาะการจัดทำสัญญาที่รัดกุมตั้งแต่ต้นและการเลือกใช้การไกล่เกลี่ยหนี้สินเป็นทางเลือกแรกในการแก้ไขข้อขัดแย้งก่อนเข้าสู่กระบวนการทางศาล บทบาทของทนายความจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการเป็นตัวแทนในศาล แต่ยังขยายไปสู่การเป็นที่ปรึกษาเชิงป้องกันและผู้จัดการข้อพิพาทเชิงกลยุทธ์ เพื่อช่วยให้คู่กรณีสามารถรับมือกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ส่วนที่ 1: หลักกฎหมายและองค์ประกอบของสัญญากู้ยืมเงิน
1.1 หลักเกณฑ์และข้อกำหนดของสัญญากู้ยืมเงินตามกฎหมายไทย
การกู้ยืมเงินในทางกฎหมายถือเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผู้ให้กู้โอนกรรมสิทธิ์ในเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้กู้ และผู้กู้ตกลงจะใช้คืนเงินจำนวนเดียวกันนั้น. หลักเกณฑ์พื้นฐานที่สำคัญของสัญญากู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 653 คือการกำหนดให้การกู้ยืมเงินที่มีจำนวนเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงจะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้. หากไม่มีหลักฐานดังกล่าว ผู้ให้กู้จะไม่สามารถนำคดีขึ้นฟ้องต่อศาลได้. ทั้งนี้ กฎหมายยังกำหนดถึงความสำคัญของหลักฐานการชำระหนี้ด้วยเช่นกัน โดยผู้กู้จะนำสืบการใช้เงินได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือมีการเวนคืนเอกสารสัญญากู้ให้แก่ผู้กู้แล้ว.
ในอดีต หลักฐานเป็นหนังสือมักถูกตีความว่าเป็นเอกสารกระดาษที่ลงลายมือชื่อจริง อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันได้สร้างบริบทใหม่ทางกฎหมาย โดยหลักฐานที่เป็นข้อความหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานได้เช่นกัน. การยอมรับนี้เป็นผลมาจากพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ซึ่งมีบทบัญญัติสำคัญในมาตรา 7, 8 และ 9 ที่รับรองความมีผลผูกพันทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์. ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึงและนำกลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง ถือว่าได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือแล้ว. การสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น ข้อความแชทในแอปพลิเคชัน LINE หรือ Facebook, อีเมล หรือแม้แต่การทำธุรกรรมผ่านระบบอัตโนมัติก็สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ หากมีข้อความที่สื่อความหมายชัดเจนว่ามีการกู้ยืมเงินจริง และมีหลักฐานอื่น ๆ ประกอบ เช่น สลิปการโอนเงิน.
การปรับตัวของกฎหมายต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่นี้ได้รับการยืนยันผ่านคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับ ซึ่งได้เปลี่ยนกระบวนทัศน์ในการพิจารณาคดีกู้ยืมเงินอย่างมีนัยสำคัญ. ยกตัวอย่างเช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8089/2556 ได้วินิจฉัยว่าการที่จำเลยใช้บัตรกดเงินสดและใส่รหัสส่วนตัวเปรียบได้กับการลงลายมือชื่อของตนเอง และการกระทำดังกล่าวถือเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์. นอกจากนี้ ยังมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2162/2567 ที่ยืนยันว่าสัญญากู้ยืมที่ทำผ่านแอปพลิเคชัน LINE ถือเป็นหลักฐานที่ใช้ฟ้องร้องได้ตามกฎหมายนี้. การตัดสินเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าระบบกฎหมายมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้การพิสูจน์การมีอยู่ของหนี้สินในยุคดิจิทัลเป็นไปได้ง่ายขึ้นมาก
1.2 อัตราดอกเบี้ยและบทลงโทษทางกฎหมาย
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินมีความแตกต่างกันตามประเภทของผู้ให้กู้ โดยกฎหมายมีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองลูกหนี้จากการถูกเอารัดเอาเปรียบ. สำหรับการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน กฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 1.25 ต่อเดือน. หากมีการเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตรานี้ จะถือว่าข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยนั้นเป็นโมฆะทั้งหมด และเจ้าหนี้จะไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่กู้ยืม.
การเรียกเก็บดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน. พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 ได้กำหนดบทลงโทษที่รุนแรง โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ. การออกกฎหมายฉบับนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์เชิงรุกของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาททางแพ่งระหว่างบุคคลอีกต่อไป แต่เป็นการกระทำที่เข้าข่ายเป็นอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม.
ในส่วนของสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เช่น ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุน สามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 15 ต่อปีได้ตามกฎหมายเฉพาะ เช่น พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551. โดยอัตราสูงสุดสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลถูกกำหนดไว้ที่ไม่เกินร้อยละ 25 ต่อปี นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้ ผู้ให้กู้ยังมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเพราะเหตุผิดนัดได้. แต่เดิมกฎหมายกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดไว้ที่ร้อยละ 7.5 ต่อปี. อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติการแก้ไขกฎหมายเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดลงเหลือเพียงร้อยละ 5 ต่อปี เพื่อลดภาระของลูกหนี้ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผันผวน. การแก้ไขนี้ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัด โดยให้คิดจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น จากเดิมที่อาจมีการคำนวณจากเงินต้นที่ค้างอยู่ทั้งหมด. การปรับปรุงกฎหมายในลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการสร้างความยุติธรรมในระบบสินเชื่อและให้การคุ้มครองแก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม.
ส่วนที่ 2: ข้อพิพาทที่พบบ่อยและบทบาทของกฎหมายคุ้มครองผู้เกี่ยวข้อง
2.1 ข้อพิพาทเรื่องการขาดหลักฐานและอายุความ
ข้อพิพาทที่พบบ่อยที่สุดในคดีกู้ยืมเงินมักเกี่ยวข้องกับการขาดหลักฐานการกู้ยืมที่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือในทางกลับกัน การที่ผู้กู้ไม่มีหลักฐานยืนยันการชำระเงินคืน. การขาดหลักฐานเหล่านี้ทำให้การฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นไปได้ยากหรือถึงขั้นไม่สามารถฟ้องร้องได้เลย โดยเฉพาะเมื่อยอดเงินเกิน 2,000 บาท.
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่มักนำไปสู่ข้อพิพาทคือเรื่องอายุความในการฟ้องร้อง ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องบังคับคดีได้. อายุความสำหรับคดีกู้ยืมเงินมีความแตกต่างกันตามลักษณะการชำระหนี้ โดยกรณีทั่วไปที่มีการกำหนดวันชำระหนี้คืนเป็นจำนวนเงินก้อนเดียว อายุความในการฟ้องร้องคือ 10 ปี นับจากวันที่ถึงกำหนดชำระคืน. แต่หากในสัญญามีการตกลงให้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ กฎหมายกำหนดให้อายุความลดลงเหลือเพียง 5 ปี. การทำความเข้าใจความแตกต่างของอายุความนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเมื่อพ้นกำหนดแล้ว สิทธิในการฟ้องร้องจะสิ้นสุดลง แม้หนี้จะยังคงอยู่ก็ตาม.
2.2 กฎหมายค้ำประกันและจำนองฉบับใหม่: การคุ้มครองผู้ค้ำประกัน
กฎหมายค้ำประกันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558. การปรับปรุงกฎหมายนี้มีเจตนารมณ์เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเสี่ยงให้กับผู้ค้ำประกันอย่างเป็นรูปธรรม. การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการกำหนดให้ข้อตกลงในสัญญากู้ยืมที่ระบุให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมหรือในฐานะลูกหนี้ร่วมเป็นโมฆะ. ด้วยหลักการใหม่นี้ เจ้าหนี้จึงมีหน้าที่ต้องติดตามทวงถามหนี้จากลูกหนี้หลักก่อน และจะสามารถเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ก็ต่อเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระได้แล้วจริง ๆ.
นอกจากนี้ กฎหมายยังได้กำหนดภาระหน้าที่ที่ชัดเจนให้แก่เจ้าหนี้ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ โดยเจ้าหนี้จะต้องทำหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดไปยังผู้ค้ำประกันภายใน 60 วันนับจากวันที่ลูกหนี้ผิดนัด. หากเจ้าหนี้ไม่ปฏิบัติตาม ผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดในส่วนของดอกเบี้ยผิดนัด ค่าทวงถาม และค่าภาระติดพันอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นระยะเวลาดังกล่าว. กฎหมายฉบับใหม่ยังให้สิทธิแก่ผู้ค้ำประกันในการได้รับประโยชน์เมื่อมีการผ่อนปรนหนี้ให้แก่ลูกหนี้ โดยหากเจ้าหนี้ตกลงลดจำนวนหนี้ให้แก่ลูกหนี้เท่าใด ภาระความรับผิดของผู้ค้ำประกันก็จะลดลงตามไปด้วย. การปรับปรุงเหล่านี้เป็นการปรับสมดุลความเสี่ยงในระบบสินเชื่อ โดยทำให้ผู้ค้ำประกันไม่ได้แบกรับความเสี่ยงมหาศาลอย่างไม่เป็นธรรมอีกต่อไป และยังส่งผลให้เจ้าหนี้ต้องพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออย่างรอบคอบมากขึ้น.
ส่วนที่ 3: กระบวนการแก้ไขข้อพิพาทและบทบาทของทนายความ
3.1 การไกล่เกลี่ยหนี้สิน: ทางเลือกนอกและในชั้นศาล
เมื่อเกิดข้อพิพาทหนี้สิน การไกล่เกลี่ย เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายอย่างยิ่ง กระบวนการนี้ช่วยให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้สามารถเจรจาหาทางออกร่วมกันได้โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยที่เป็นกลางเป็นคนกลาง
ข้อดีของการไกล่เกลี่ย มีหลายประการ ได้แก่
- ความเป็นส่วนตัว เนื่องจากไม่มีการบันทึกในประวัติสาธารณะ
- ความยืดหยุ่นและประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้จริง
- สามารถหาแผนการชำระหนี้ที่เหมาะสมกับสถานะการเงินของลูกหนี้ได้
- ลดความตึงเครียดและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีได้ดีกว่าการฟ้องร้องในศาล
ขั้นตอนการไกล่เกลี่ย สามารถทำได้ตั้งแต่ก่อนมีการฟ้องร้องดำเนินคดีในศาล หรือทำได้ในชั้นศาล โดยศาลจะทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยเพื่อระงับคดีโดยเร็วที่สุด
นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมบังคับคดี ยังมีบทบาทสำคัญในการจัดกิจกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินเพื่อช่วยลดปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว
3.2 กระบวนการฟ้องร้องดำเนินคดีในศาล
หากการไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จหรือคู่กรณีไม่สามารถหาข้อตกลงที่ลงตัวได้ การฟ้องร้องดำเนินคดีในศาล จะเป็นทางเลือกสุดท้าย ขั้นตอนแรกในการฟ้องร้องคือการเตรียมหลักฐานที่ครบถ้วนและชัดเจน
หลักฐานที่จำเป็น ได้แก่
- สัญญากู้ยืมเงิน
- หลักฐานการโอนเงิน
- หลักฐานการสนทนาหรือการทวงถามหนี้
หลักฐานเหล่านี้ต้องมีความชัดเจนและสามารถเชื่อมโยงผู้กู้กับเจ้าหนี้ได้
การยื่นฟ้องคดีแพ่ง สามารถทำได้ด้วยตนเองหรือผ่านทนายความ โดยต้องยื่นในศาลที่มีเขตอำนาจ ซึ่งโดยทั่วไปคือศาลในเขตที่จำเลยมีภูมิลำเนา หรือศาลในเขตที่มูลคดีเกิดขึ้น
ขั้นตอนการพิจารณาคดี ในศาล ได้แก่
- การนัดพร้อม
- การไกล่เกลี่ยในชั้นศาล (หากตกลงไม่ได้)
- การนัดชี้สองสถานเพื่อกำหนดประเด็นข้อพิพาท
- การสืบพยานของทั้งสองฝ่าย
- การนัดฟังคำพิพากษา
3.3 บทบาทเชิงกลยุทธ์ของทนายความในแต่ละขั้นตอน
บทบาทของทนายความ ในคดีกู้ยืมเงินได้ขยายจากเพียงแค่การเป็นตัวแทนในการฟ้องร้องสู่การเป็นผู้จัดการข้อพิพาทเชิงกลยุทธ์
- ระยะป้องกันปัญหา: ทนายความให้คำปรึกษาและช่วยร่างสัญญากู้ยืมและสัญญาค้ำประกันให้รัดกุม ถูกต้องตามกฎหมาย และสามารถใช้บังคับคดีได้จริงในอนาคต
- ระหว่างการแก้ไขข้อพิพาท: ทนายความมีบทบาทเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยที่เป็นกลางและมีประสบการณ์ ช่วยหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย รวมทั้งช่วยวางกลยุทธ์การนำเสนอแนวทางการชำระหนี้
- ในชั้นศาล: ทนายความทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินคดีและผู้ปกป้องสิทธิของลูกความ โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อกฎหมายใหม่และหลักฐานดิจิทัล
- หลังศาลมีคำพิพากษา: ทนายความช่วยดำเนินการบังคับคดี เช่น การอายัดค่าจ้างหรือการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้
สรุปและข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ
การวิเคราะห์กฎหมายการกู้ยืมเงินในประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของระบบกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในด้านการยอมรับหลักฐานดิจิทัล การเพิ่มการคุ้มครองลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน และการส่งเสริมการไกล่เกลี่ยเพื่อลดภาระของคู่กรณีและระบบศาล
การออกกฎหมายใหม่ที่มุ่งแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบและปรับสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างคู่สัญญาสะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐในการสร้างความยุติธรรมในสังคม
คำแนะนำสำหรับผู้ให้กู้
- จัดทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร: ควรทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือทุกครั้ง ไม่ว่ายอดเงินจะเกิน 2,000 บาทหรือไม่ และควรมีการลงลายมือชื่อผู้กู้ชัดเจน
- ใช้หลักฐานดิจิทัลอย่างรัดกุม: หากใช้ช่องทางออนไลน์ ควรเก็บหลักฐานการสนทนาที่ระบุเจตนาการกู้ยืมและมีหลักฐานการโอนเงินประกอบ
- ปฏิบัติตามกฎหมายดอกเบี้ย: ควรคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปีสำหรับบุคคลทั่วไป
- แจ้งผู้ค้ำประกันเมื่อผิดนัด: ควรแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 60 วัน เพื่อรักษาสิทธิในการเรียกดอกเบี้ยผิดนัดและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
คำแนะนำสำหรับผู้กู้
- อ่านสัญญาอย่างละเอียด: ทำความเข้าใจเงื่อนไข โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาชำระคืน
- เก็บหลักฐานการชำระคืน: เช่น ใบเสร็จหรือสลิปการโอนเงิน
- เจรจาไกล่เกลี่ย: หากมีปัญหา ควรติดต่อเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกันก่อนถูกฟ้องร้อง
คำแนะนำในการใช้บริการทางกฎหมาย
การปรึกษาทนายความตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าการรอให้คดีเข้าสู่ชั้นศาล ทนายความที่เชี่ยวชาญสามารถช่วยร่างสัญญา เจรจาไกล่เกลี่ย และเตรียมพยานหลักฐานได้อย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่หลักฐานอิเล็กทรอนิกส์มีความสำคัญมากในการดำเนินคดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น