วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2568

รายงานผู้เชี่ยวชาญ: การรับโอนมรดกและเหตุผลในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามกฎหมายไทย

 

รายงานผู้เชี่ยวชาญ: การรับโอนมรดกและเหตุผลในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามกฎหมายไทย



บทนำ: หลักการพื้นฐานของกฎหมายมรดกไทย

เมื่อบุคคลใดถึงแก่ความตาย ทรัพย์สินทั้งหมดรวมถึงสิทธิและหน้าที่ของผู้นั้นจะตกทอดแก่ทายาททันทีโดยผลของกฎหมาย  หลักการนี้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 1599 ซึ่งระบุว่าเมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดแก่ทายาท  กองมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 หมายถึงทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดจนสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่โดยกฎหมายหรือโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้  ทรัพย์สินในที่นี้รวมถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน รถยนต์ ห้องชุด เงินฝากในธนาคาร รวมถึงสิทธิเรียกร้องและหนี้สินต่าง ๆ ที่เจ้ามรดกมีอยู่ก่อนถึงแก่ความตาย.

ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ผู้รับพินัยกรรม และทายาทโดยธรรม 1

  1. ผู้รับพินัยกรรม (Testamentary Heirs): คือบุคคลที่เจ้ามรดกได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมอย่างชัดเจนให้เป็นผู้รับทรัพย์สินมรดก.

  2. ทายาทโดยธรรม (Legal Heirs): คือทายาทที่มีสิทธิรับมรดกตามกฎหมายหากเจ้ามรดกไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้. ทายาทโดยธรรมมีทั้งหมด 6 ลำดับ โดยแต่ละลำดับจะได้รับมรดกก่อนหลังตามลำดับที่กฎหมายกำหนดไว้  ดังนี้:

    • (1) ผู้สืบสันดาน (บุตร, หลาน, เหลน)

    • (2) บิดามารดา

    • (3) พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

    • (4) พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน

    • (5) ปู่ ย่า ตา ยาย

    • (6) ลุง ป้า น้า อา

    • นอกจากนี้ คู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถือเป็นทายาทโดยธรรมเช่นกันและมีสิทธิได้รับมรดกตามบทบัญญัติพิเศษของกฎหมาย.

แม้กฎหมายจะกำหนดให้สิทธิในทรัพย์มรดกตกทอดสู่ทายาททันทีที่เจ้ามรดกตาย แต่ในทางปฏิบัติ ทายาทไม่สามารถนำเอกสารแสดงความเป็นทายาทไปทำธุรกรรมกับทรัพย์สินเหล่านั้นได้ทันที  ตัวอย่างเช่น การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน การถอนเงินจากบัญชีธนาคาร หรือการโอนรถยนต์ ล้วนต้องผ่านกระบวนการทางกฎหมายที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสียก่อน  เหตุผลสำคัญคือหน่วยงานราชการและสถาบันการเงินต้องการให้มี "ผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมาย" เพียงคนเดียวในการดำเนินการ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดแย้งหรือการทับซ้อนของสิทธิในหมู่ทายาทหลายคน ซึ่งความต้องการนี้เองที่ทำให้กระบวนการทางกฎหมายในการแต่งตั้ง "ผู้จัดการมรดก" มีความสำคัญอย่างยิ่งในการจัดการกองมรดกให้ลุล่วงอย่างเป็นระบบ.

ภาคที่ 1: ความจำเป็นในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

การยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเป็นขั้นตอนสำคัญที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียสามารถกระทำได้ โดยมีเหตุผลทั้งในเชิงกฎหมายและเชิงปฏิบัติที่สนับสนุนความจำเป็นในกระบวนการนี้

เหตุผลเชิงกฎหมาย: บทบัญญัติมาตรา 1713 แห่ง ป.พ.พ.

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 กำหนดเหตุแห่งการร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกไว้ดังนี้ :

  1. เมื่อทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรมสูญหายไป อยู่นอกราชอาณาจักร หรือเป็นผู้เยาว์: สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ทายาทไม่สามารถดำเนินการทางกฎหมายที่จำเป็นได้ด้วยตนเอง.

  2. เมื่อผู้จัดการมรดก (ถ้ามี) หรือทายาทไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะจัดการ หรือมีเหตุขัดข้องในการจัดการหรือการแบ่งปันมรดก: เช่น มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง หรือไม่มีทายาทคนใดพร้อมที่จะเป็นผู้นำในการจัดการทรัพย์สิน.

  3. เมื่อข้อกำหนดในพินัยกรรมที่ตั้งผู้จัดการมรดกไว้ไม่มีผลบังคับได้: เช่น ผู้ที่ถูกระบุชื่อไว้เสียชีวิตไปก่อนหน้าเจ้ามรดก หรือมีคุณสมบัติต้องห้ามตามกฎหมาย.

เหตุผลเชิงปฏิบัติ

การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกยังมีความจำเป็นในทางปฏิบัติเพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นธรรมแก่ทายาททุกคน  เหตุผลสำคัญได้แก่:

  • การรวบรวมทรัพย์สิน: ทรัพย์สินของเจ้ามรดกอาจกระจัดกระจายอยู่ในหลายรูปแบบและหลายสถานที่ เช่น บัญชีเงินฝากหลายธนาคาร ที่ดินหลายแปลง ทะเบียนรถยนต์ หรือหุ้นในบริษัทต่างๆ  การมีผู้จัดการมรดกซึ่งได้รับคำสั่งจากศาลทำให้มีอำนาจในการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อรวบรวมทรัพย์สินเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบ.

  • การชำระหนี้สิน: ก่อนที่ทายาทจะได้รับส่วนแบ่ง ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ชำระหนี้สินของเจ้ามรดกให้แก่เจ้าหนี้จากทรัพย์สินในกองมรดกเสียก่อน  หน้าที่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ทายาทต้องรับผิดในหนี้สินเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตนได้รับตามที่กฎหมายกำหนด.

  • การสร้างความชอบธรรมและความเป็นเอกภาพ: การแต่งตั้งโดยคำสั่งศาลทำให้ผู้จัดการมรดกเป็นผู้มีอำนาจเต็มตามกฎหมาย (Sole Legal Representative) ในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สิน  การมีผู้แทนเพียงคนเดียวช่วยลดความสับสนและข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นหากทายาทหลายคนต่างอ้างสิทธิในการจัดการทรัพย์สิน  หน่วยงานราชการ เช่น กรมที่ดิน  หรือกรมการขนส่งทางบก  รวมถึงสถาบันการเงิน  จะยอมรับคำสั่งศาลนี้เป็นหลักฐานหลักในการดำเนินการโอนทรัพย์สินแทนผู้ตาย.

ผู้จัดการมรดกยังถือเป็นผู้ประสานงานและผู้มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารจัดการกองมรดก  บทบาทนี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การดำเนินการทางเอกสาร แต่ยังรวมถึงการจัดการความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทายาท  การมีผู้จัดการมรดกหลายคนร่วมกันก็เป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยถ่วงดุลอำนาจเพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือการทุจริต  การที่ผู้จัดการมรดกต้องจัดทำรายงานและอาจต้องรายงานความคืบหน้าต่อศาลในบางกรณี  เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงบทบาทที่ต้องรับผิดชอบต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกองมรดก.

ข้อยกเว้น: สถานการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีผู้จัดการมรดก

ในบางกรณี ทายาทอาจไม่จำเป็นต้องยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก:

  • กรณีมีทายาทเพียงคนเดียว: หากผู้ตายมีทายาทโดยธรรมเพียงคนเดียวและไม่มีผู้ใดคัดค้าน ทายาทผู้นั้นสามารถยื่นคำขอจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ได้โดยตรงที่สำนักงานที่ดิน.

  • กรณีการโอนรถยนต์: สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ ทายาทมีทางเลือกนอกเหนือจากการใช้คำสั่งศาล โดยสามารถแจ้งให้สำนักงานขนส่งทำหนังสือสอบปากคำทายาท ณ ที่ว่าการอำเภอที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ จากนั้นจะมีการประกาศหาผู้คัดค้านเป็นเวลา 30 วัน หากไม่มีผู้ใดคัดค้าน สำนักงานเขตจะออกหนังสือรับรองให้ทายาทนำไปประกอบการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ต่อไปได้.

อย่างไรก็ตาม สำหรับทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะทรัพย์สินทางการเงิน เช่น บัญชีเงินฝากหรือหุ้น การดำเนินการส่วนใหญ่จะจำเป็นต้องอาศัยคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเป็นหลัก.

ภาคที่ 2: บทบาทและหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย

ผู้จัดการมรดกคือบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคำสั่งศาลหรือโดยระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมของผู้ตาย เพื่อทำหน้าที่รวบรวม จัดการ และแบ่งปันทรัพย์สินและหนี้สินของกองมรดก  บุคคลที่จะสามารถเป็นผู้จัดการมรดกได้ต้องมีคุณสมบัติและไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย

คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม

  • คุณสมบัติ: ผู้จัดการมรดกต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว (อายุ 20 ปีบริบูรณ์).

  • ลักษณะต้องห้าม: กฎหมายห้ามบุคคลดังต่อไปนี้เป็นผู้จัดการมรดก :

    1. ผู้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ

    2. บุคคลวิกลจริต หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ

    3. บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนล้มละลาย

ผู้ที่มีสิทธิร้องขอให้ศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก ได้แก่ ทายาท (ทั้งทายาทโดยธรรมและผู้รับพินัยกรรม), ผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก (เช่น เจ้าหนี้ของผู้ตาย, ผู้ปกครองของผู้เยาว์ที่เป็นทายาท), หรือพนักงานอัยการ.

อำนาจและหน้าที่สำคัญตามกฎหมาย

ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ต้องจัดการมรดกด้วยความระมัดระวังและเพื่อประโยชน์ของกองมรดกหรือทายาททุกคน. หน้าที่หลักๆ ได้แก่:

  • รวบรวมและจัดทำบัญชีทรัพย์มรดก: ผู้จัดการมรดกต้องจัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดของเจ้ามรดก  โดยต้องเริ่มทำภายใน 15 วัน และทำให้เสร็จภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง.

  • ชำระหนี้สินของเจ้ามรดก: ผู้จัดการมรดกต้องใช้ทรัพย์สินในกองมรดกเพื่อชำระหนี้ทั้งหมดของเจ้ามรดกก่อนที่จะแบ่งมรดกให้แก่ทายาท.

  • แบ่งปันทรัพย์สิน: เมื่อชำระหนี้สินเรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการมรดกจะแบ่งปันทรัพย์สินที่เหลือให้แก่ทายาทตามที่กำหนดไว้ในพินัยกรรม หรือตามส่วนแบ่งที่กฎหมายกำหนด.

  • ดูแลและบริหารทรัพย์สิน: ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการแบ่งมรดก ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ในการดูแลรักษาทรัพย์สินให้คงอยู่หรือเพิ่มมูลค่า.

  • รายงานผลการจัดการ: โดยทั่วไป ผู้จัดการมรดกต้องจัดทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปีนับจากวันที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้ง เว้นแต่ศาลจะกำหนดเป็นอย่างอื่น.

การสิ้นสุดหน้าที่ของผู้จัดการมรดก

หน้าที่ของผู้จัดการมรดกจะสิ้นสุดลงเมื่อ :

  • การจัดการและแบ่งปันมรดกเสร็จสิ้นสมบูรณ์.

  • ผู้จัดการมรดกตาย.

  • ศาลมีคำสั่งถอนจากการเป็นผู้จัดการมรดก.

ภาคที่ 3: ขั้นตอนการยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

การยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องมีการจัดเตรียมเอกสารและปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้

เขตอำนาจศาล

คำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกจะต้องยื่นต่อศาลที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาในขณะถึงแก่ความตาย  หากเจ้ามรดกไม่มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร ให้ยื่นต่อศาลที่ทรัพย์มรดกตั้งอยู่ในเขตศาลนั้น.3

ขั้นตอนการดำเนินการ

  1. รวบรวมทรัพย์มรดก: จัดทำรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดของเจ้ามรดก.

  2. หารือทายาทและผู้มีส่วนได้เสีย: พูดคุยกับทายาททุกคนเพื่อหาข้อตกลงและขอความยินยอมในการเป็นผู้จัดการมรดก ซึ่งจะช่วยลดข้อพิพาทและทำให้กระบวนการในศาลง่ายขึ้น.

  3. เตรียมเอกสารหลักฐาน: จัดเตรียมเอกสารที่ครบถ้วนตามรายการที่ศาลกำหนด.

  4. ยื่นคำร้องต่อศาล: ผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องด้วยตนเองได้ที่สำนักงานอัยการสูงสุดในเขตภูมิลำเนาในกรณีที่ไม่มีผู้คัดค้าน เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความ.

  5. ไต่สวนคำร้อง: ศาลจะทำการไต่สวนเพื่อตรวจสอบพยานและเอกสารที่ยื่นมา รวมถึงสอบถามทายาทอื่นเพื่อยืนยันว่าไม่มีการคัดค้าน.

  6. คำสั่งศาล: เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นสมควรจะออกคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดกอย่างเป็นทางการ  หลังจากนั้น ผู้จัดการมรดกจะต้องขอ "หนังสือรับรองคดีถึงที่สุด" จากศาลเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการติดต่อทำธุรกรรมกับหน่วยงานต่างๆ ต่อไป.

กระบวนการทางกฎหมายในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกอาจดูซับซ้อน แต่รัฐได้มีบทบาทในการทำให้กระบวนการนี้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับประชาชน  การที่สำนักงานอัยการสูงสุดให้บริการในการยื่นคำร้องขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดกโดยไม่ต้องมีทนายความ (ในกรณีที่ไม่มีข้อพิพาท) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความพยายามในการลดอุปสรรคทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน.

ภาคที่ 4: วิธีการโอนทรัพย์สินมรดกแต่ละประเภท

ขั้นตอนและเอกสารที่ใช้ในการโอนทรัพย์สินมรดกจะแตกต่างกันไปตามประเภทของทรัพย์สิน ดังนี้:

การโอนอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง)

การโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์มรดกจะดำเนินการที่สำนักงานที่ดิน  เอกสารที่ต้องเตรียม ได้แก่ โฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน, หลักฐานการตายของเจ้ามรดก, หลักฐานการเป็นทายาท, และที่สำคัญคือคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก หรือพินัยกรรมที่ระบุผู้จัดการมรดกไว้  อัตราค่าธรรมเนียมการโอนจะคิดเป็น 2% ของราคาประเมินทุนทรัพย์  อย่างไรก็ตาม หากเป็นการโอนมรดกระหว่างบุพการีกับผู้สืบสันดาน (เช่น พ่อแม่โอนให้ลูก หรือลูกโอนให้พ่อแม่) จะเสียค่าธรรมเนียมเพียง 0.5%.

การโอนบัญชีเงินฝากและหลักทรัพย์

สถาบันการเงินส่วนใหญ่จะกำหนดให้การถอนหรือโอนเงินในบัญชีของเจ้ามรดกต้องดำเนินการโดยผู้จัดการมรดกที่ได้รับคำสั่งศาล  ธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็ระบุว่าการจัดการมรดกพันธบัตรต้องใช้คำสั่งศาลตั้งผู้จัดการมรดก  ในทำนองเดียวกัน การโอนหลักทรัพย์หรือหุ้นต้องใช้แบบคำขอจัดการหลักทรัพย์มรดกที่ลงนามโดยผู้จัดการมรดกที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาล.

การโอนกรรมสิทธิ์ยานพาหนะ

การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์หลังเจ้าของเสียชีวิตสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก :

  1. ใช้คำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: ผู้จัดการมรดกนำสมุดคู่มือจดทะเบียนรถและคำสั่งศาลไปยื่นคำขอโอน ณ สำนักงานขนส่ง.

  2. ไม่มีผู้จัดการมรดก: ใช้หนังสือรับรองผลการสอบปากคำทายาทที่ได้จากการประกาศหาผู้คัดค้าน 30 วันที่สำนักงานเขต/อำเภอ.

ความแตกต่างในการประยุกต์ใช้กฎหมายตามประเภททรัพย์สินสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนที่แตกต่างกันของแต่ละธุรกรรม  ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์มีทางเลือกที่ทำได้โดยไม่ต้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกผ่านกระบวนการสอบปากคำและประกาศสาธารณะ สถาบันการเงินและองค์กรที่จัดการหลักทรัพย์กลับให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการมีผู้แทนที่ผ่านการรับรองจากศาล  ซึ่งอาจเป็นเพราะความเสี่ยงที่สูงกว่าในการจัดการเงินหรือสินทรัพย์ทางการเงิน ทำให้จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันที่รัดกุมกว่า เพื่อสร้างความมั่นใจว่าธุรกรรมที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้องและชอบธรรม.

สรุปขั้นตอนและเอกสารสำคัญในการโอนมรดกตามประเภททรัพย์สิน

ประเภททรัพย์สินหน่วยงานที่ติดต่อเอกสารสำคัญที่ต้องใช้
อสังหาริมทรัพย์สำนักงานที่ดิน• โฉนดที่ดินหรือหนังสือแสดงสิทธิ • ใบมรณบัตรของเจ้ามรดก • คำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก หรือพินัยกรรม
บัญชีเงินฝากธนาคารเจ้าของบัญชี• สมุดบัญชีเงินฝาก • ใบมรณบัตรของเจ้ามรดก • คำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
ยานพาหนะสำนักงานขนส่ง• สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ • ใบมรณบัตรของเจ้าของรถ • คำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก หรือหนังสือรับรองการสอบปากคำจากอำเภอ
หลักทรัพย์/หุ้นบริษัทหลักทรัพย์• ใบหลักทรัพย์ • ใบมรณบัตรของเจ้ามรดก • คำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

ภาคที่ 5: ข้อพิพาทและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการจัดการมรดก

แม้จะมีกฎหมายที่ชัดเจน แต่การจัดการมรดกก็ยังสามารถก่อให้เกิดปัญหาและข้อพิพาทที่ซับซ้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้จัดการมรดกละเลยหน้าที่หรือกระทำการโดยไม่สุจริต

ปัญหาที่พบบ่อย

  • ผู้จัดการมรดกไม่แบ่งทรัพย์สิน: ผู้จัดการมรดกอาจละเลยหน้าที่ในการแบ่งปันทรัพย์สิน หรือไม่ดำเนินการตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด.

  • การทุจริตยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก: ผู้จัดการมรดกหรือทายาทบางคนอาจมีเจตนาทุจริตด้วยการปิดบังข้อมูลหรือยักย้ายทรัพย์สินบางส่วนไปเป็นของตนเอง.

  • การทำนิติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก: ผู้จัดการมรดกอาจทำนิติกรรมซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดก เช่น การขายทรัพย์สินในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง.

  • ความล่าช้าในการแบ่งปัน: หากผู้จัดการมรดกหลายคนไม่สามารถตกลงกันได้ อาจทำให้กระบวนการจัดการล่าช้าและขาดความคล่องตัว.

แนวทางการแก้ไขทางกฎหมายสำหรับทายาท

เมื่อเกิดปัญหา ทายาทผู้มีส่วนได้เสียสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้  แนวทางที่สำคัญได้แก่:

  • การร้องขอให้ศาลถอนผู้จัดการมรดก: หากผู้จัดการมรดกละเลยไม่ทำตามหน้าที่ หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทายาทสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ถอนผู้จัดการมรดกและตั้งคนใหม่ขึ้นมาแทน.

  • การฟ้องคดีแพ่ง: ทายาทสามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับให้มีการแบ่งทรัพย์มรดก หรือฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย.

  • การดำเนินคดีอาญา: หากมีการกระทำที่เข้าข่ายการทุจริตยักยอกทรัพย์ ทายาทสามารถแจ้งความดำเนินคดีอาญาเพื่อเอาผิดกับผู้จัดการมรดกได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การคืนทรัพย์สินในที่สุด.

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 และ 1606 ยังได้กำหนดกลไกทางกฎหมายที่รุนแรงเพื่อป้องกันการทุจริตในกองมรดก  โดยระบุว่าทายาทที่ "ยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก" จะถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลย ซึ่งเป็นการลงโทษที่รุนแรงเพื่อรักษาความเป็นธรรมในหมู่ทายาท  อย่างไรก็ตาม การกล่าวหาว่าทายาทคนใดทุจริตจะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจน เนื่องจากศาลจะพิจารณาพฤติกรรมอย่างรอบคอบตามข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี.

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

โดยสรุปแล้ว แม้ว่าสิทธิในมรดกของผู้ตายจะตกทอดสู่ทายาททันทีเมื่อเจ้ามรดกสิ้นชีวิตลง แต่การจัดการและทำธุรกรรมกับทรัพย์สินเหล่านั้นในทางปฏิบัติจำเป็นต้องอาศัย "อำนาจทางกฎหมาย" ที่ได้มาจากการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกโดยศาล  กระบวนการนี้ไม่ได้เป็นเพียงขั้นตอนทางพิธีการเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการรวบรวมทรัพย์สิน ชำระหนี้สิน และป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทายาทหลายคน  รายงานฉบับนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลเชิงกฎหมายที่สนับสนุนความจำเป็นในการมีผู้จัดการมรดก รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการที่ชัดเจน และวิธีการโอนทรัพย์สินที่แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภท.

เพื่อให้การจัดการมรดกเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ จึงมีข้อเสนอแนะสำหรับทายาทดังนี้:

  • ศึกษาทำความเข้าใจกฎหมายเบื้องต้น: การมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิและหน้าที่ของตนเองตามกฎหมายจะช่วยป้องกันความเข้าใจผิดและลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น.

  • รวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบ: จัดทำรายการทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดของเจ้ามรดกอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนเริ่มกระบวนการทางกฎหมาย.

  • ปรึกษาหารือกับทายาททุกคน: การพูดคุยหาข้อยุติร่วมกันก่อนการดำเนินการจะช่วยลดโอกาสเกิดข้อพิพาทในภายหลัง.

  • พิจารณาทางเลือกในการดำเนินการ: ในกรณีที่กองมรดกไม่ซับซ้อนและไม่มีข้อพิพาท ทายาทอาจพิจารณาใช้บริการของสำนักงานอัยการเพื่อลดค่าใช้จ่าย.

  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ในกรณีที่ทรัพย์สินมีความซับซ้อน มีข้อพิพาทรุนแรง หรือมีทายาทจำนวนมาก การปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมรดกจะเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการกองมรดกให้ลุล่วงตามเจตนารมณ์ของเจ้ามรดกและเป็นธรรมต่อทายาททุกคน.


การรับโอนมรดก: ทายาทต้องทำยังไง?

ถาม: สงสัยว่าถ้าเจ้ามรดกเสียชีวิตแล้ว ทายาทต้องทำยังไงถึงจะโอนทรัพย์สินได้ครับ? ต้องแต่งตั้งผู้จัดการมรดกทุกคนเลยมั้ย?

ตอบ: การโอนมรดกมี 2 แบบ คือ แบบไม่ต้องมีผู้จัดการมรดก และ แบบต้องมีผู้จัดการมรดก

แบบไม่ต้องมีผู้จัดการมรดก:

  • ทำได้ถ้า ทายาททุกคนตกลงกันได้ ไม่มีข้อขัดแย้ง และทุกคนบรรลุนิติภาวะ

  • ถ้าเป็น ที่ดิน ก็แค่ให้ทายาททุกคนไปที่สำนักงานที่ดินพร้อมกันเพื่อยื่นคำขอโอนได้เลย

  • แต่ถ้าเป็น เงินฝากในธนาคาร หรือ หุ้น อันนี้จะยุ่งยากหน่อย ส่วนใหญ่ธนาคารจะขอคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกก่อนถึงจะยอมให้ถอนเงินค่ะ


ทำไมต้องมีผู้จัดการมรดก?

ถาม: แล้วถ้ามีปัญหาแบบที่ว่ามา ก็ต้องไปขอให้ศาลแต่งตั้งผู้จัดการมรดกใช่ไหม?

ตอบ: ใช่! การแต่งตั้งผู้จัดการมรดกจำเป็นมากในหลายสถานการณ์ เช่น:

  1. ทรัพย์สินเป็นบัญชีธนาคารหรือหุ้น: สถาบันการเงินต้องการคนที่มีอำนาจตามกฎหมายมาจัดการ

  2. ทายาทมีหลายคนและมีข้อพิพาท: การมีผู้จัดการมรดกจะช่วยให้การแบ่งทรัพย์สินเป็นไปอย่างยุติธรรม

  3. มีทายาทเป็นผู้เยาว์: กฎหมายไม่อนุญาตให้ผู้เยาว์จัดการทรัพย์สินเอง

  4. ไม่มีพินัยกรรม: ผู้จัดการมรดกจะจัดการและแบ่งทรัพย์สินตามกฎหมาย


แล้วผู้จัดการมรดกมีหน้าที่อะไรบ้าง?

ถาม: แล้วถ้าได้รับการแต่งตั้งแล้ว ผู้จัดการมรดกต้องทำอะไรบ้าง?

ตอบ: หน้าที่หลักๆ ของผู้จัดการมรดกคือ:

  • รวบรวมทรัพย์สินและหนี้สิน: ทำบัญชีรายการทรัพย์สินทั้งหมด

  • ชำระหนี้สิน: นำทรัพย์สินไปจ่ายหนี้ของเจ้ามรดกให้ครบก่อน

  • แบ่งปันทรัพย์สิน: นำทรัพย์สินที่เหลือมาแบ่งให้ทายาทตามพินัยกรรมหรือตามกฎหมาย


ขั้นตอนการยื่นคำร้องต่อศาล

ถาม: ถ้าอยากจะขอเป็นผู้จัดการมรดกเอง ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

ตอบ: ต้องยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมเอกสารหลักๆ ดังนี้

  • เอกสารของเจ้ามรดก: มรณบัตร, บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, และเอกสารทรัพย์สิน

  • เอกสารของคุณเอง (ในฐานะผู้ร้อง): บัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, และเอกสารที่แสดงความสัมพันธ์กับเจ้ามรดก

  • เอกสารของทายาทคนอื่น: สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้าน

จากนั้นก็นำเอกสารไปยื่นที่ศาลในพื้นที่ที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาตอนเสียชีวิต


ถ้าไม่สะดวกไปยื่นคำร้องเองที่ศาลด้วยตัวเอง

ถาม: แล้วถ้าไม่สะดวกไปศาล เพราะต้องทำงาน ลางานไม่ได้ ต้องทำอย่างไร?
ตอบ: ติดต่อทนายใกล้บ้าน ว่าจ้างดำเนินคดีได้เลย

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend




วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

แผนการค้นคว้าขั้นตอนทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วน: กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง

 

แผนการค้นคว้าขั้นตอนทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วน: กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง

1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

​ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย  คำวินิจฉัยดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบเชิงกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากศาลได้กำหนดให้การพ้นจากตำแหน่งมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้ น.ส. แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

​การพ้นจากตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะไม่ได้ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองโดยทันที เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีชุดเดิมยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในฐานะ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ"  โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี  อย่างไรก็ตาม สถานะของรัฐบาลรักษาการมีข้อจำกัดทางอำนาจที่สำคัญ ทำให้ไม่สามารถผลักดันนโยบายหรือโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดใหม่ได้  สิ่งนี้ได้นำไปสู่ภาวะสุญญากาศทางนโยบาย ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดหุ้น

​รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานะทางกฎหมายที่ซับซ้อนภายหลังคำวินิจฉัยของศาล และนำเสนอแผนการดำเนินการเชิงรุกเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยได้จัดทำแผนการค้นคว้าขั้นตอนทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา ได้แก่ ความชอบด้วยกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ความยืดเยื้อของกระบวนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และปัจจัยทางการเมืองที่อาจขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล รายงานจึงได้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่ การประเมินผลกระทบทางกฎหมายอย่างเร่งด่วน การกำหนดแผนการเจรจาทางการเมืองที่ชัดเจน และการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง



2. การวิเคราะห์เชิงลึก: ผลทางกฎหมายจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

2.1 รายละเอียดของคำวินิจฉัยและผลทางกฎหมาย

​คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 มีต้นกำเนิดมาจากคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 36 คน ที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่  โดยมีข้อกล่าวหาว่า น.ส. แพทองธาร ขาดคุณสมบัติและมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา

​ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในเวลา 15.00 น. ของวันที่ 29 สิงหาคม 2568 และมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้ น.ส. แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  โดยศาลเห็นว่าการกระทำของ น.ส. แพทองธาร เป็นการกระทำที่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวทางการเมืองเหนือผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ และเป็นการลดทอนเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและของประเทศในเวทีนานาชาติ  ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ  ผลของคำวินิจฉัยนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตามรัฐธรรมนูญด้วย

2.2 การวิเคราะห์ผลย้อนหลังของคำวินิจฉัย

​หนึ่งในประเด็นที่สร้างความซับซ้อนทางกฎหมายอย่างมากคือการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีมีผลย้อนหลัง (Retroactive Effect) ไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลได้มีคำสั่งให้ น.ส. แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว  ตามหลักการของคำวินิจฉัยนี้ สถานะของความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส. แพทองธาร สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และในฐานะที่คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง  สถานะของคณะรัฐมนตรีเต็มคณะจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันเดียวกันด้วย

​เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งความคลุมเครือทางกฎหมายอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับมติคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 29 สิงหาคม 2568 ในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่า น.ส. แพทองธาร จะหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราว แต่คณะรัฐมนตรีชุดเดิมโดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและมีมติต่าง ๆ ที่สำคัญ  ตามกฎหมายแล้ว คณะรัฐมนตรีรักษาการมีข้อจำกัดด้านอำนาจตามมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ โดยห้ามอนุมัติงานหรือโครงการที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไป หรือสร้างภาระผูกพันทางการเงิน  เมื่อศาลวินิจฉัยให้การพ้นจากตำแหน่งมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 คำถามทางกฎหมายที่สำคัญจึงเกิดขึ้นว่ามติที่ออกมาในช่วงเวลานั้นถือเป็นการกระทำของ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" ที่มีข้อจำกัดทางอำนาจหรือไม่ หากมีการตีความว่าอำนาจเต็มของคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 แล้ว มติที่เข้าข่ายการกระทำที่เกินอำนาจของคณะรัฐมนตรีรักษาการอาจถูกโต้แย้งหรือเพิกถอนในภายหลังได้ สิ่งนี้สร้างความเสี่ยงทางกฎหมายสูงสำหรับทั้งฝ่ายบริหารและภาคธุรกิจที่ได้รับอนุมัติโครงการหรือสัญญาต่าง ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว

2.3 ผลกระทบทางกฎหมายต่อมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา

​สถานะของ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" มีบทบาทสำคัญในการป้องกันสุญญากาศทางการเมืองและรักษาความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน  อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญได้กำหนดข้อจำกัดอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลรักษาการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือสร้างภาระผูกพันให้กับรัฐบาลใหม่ในอนาคต

​ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (ก.ค. - ส.ค. 2568) ที่คณะรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาวะที่นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ มติหลายประการได้ถูกพิจารณาและอนุมัติ หากมติเหล่านี้มีลักษณะเป็นการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ การใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือการกระทำใด ๆ ที่เข้าข่าย "การสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป"  ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายในอนาคต  ความเสี่ยงนี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการที่คำวินิจฉัยของศาลมีผลย้อนหลัง ทำให้มติทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 อาจถูกพิจารณาใหม่ภายใต้กรอบอำนาจที่จำกัดของรัฐบาลรักษาการ สิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการทบทวนอย่างเร่งด่วนโดยฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อป้องกันปัญหาการฟ้องร้องทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต



3. กรอบอำนาจและหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีรักษาการ

3.1 สถานะทางกฎหมายและการทำหน้าที่

​ภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ รัฐธรรมนูญมาตรา 168 ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่  ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ในฐานะ “คณะรัฐมนตรีรักษาการ”  โดยในระหว่างนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้ก่อนหน้า จะรับหน้าที่เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี  เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน และป้องกันมิให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้น

3.2 ข้อจำกัดทางอำนาจ (The "Lame Duck" Conundrum)

​แม้ว่าคณะรัฐมนตรีรักษาการจะมีอำนาจในการบริหารงานประจำ แต่รัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดข้อจำกัดที่สำคัญตามมาตรา 169 เพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขตในช่วงเปลี่ยนผ่าน  ข้อจำกัดที่สำคัญ ได้แก่:

  1. ห้ามอนุมัติงานหรือโครงการที่สร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก

  1. ห้ามอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง

  1. ห้ามแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของรัฐบาลใหม่

​ภาวะที่รัฐบาลมีอำนาจจำกัดเช่นนี้ได้นำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า "สุญญากาศทางนโยบาย" (Policy Vacuum) แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะสามารถอุดช่องโหว่ด้าน "สุญญากาศทางการเมือง" ได้ แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถเดินหน้าผลักดันนโยบายสำคัญหรือโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการอนุมัติใหม่ได้อย่างเต็มที่  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความล่าช้าของนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ เช่น โครงการ Digital Wallet ซึ่งมีโอกาสเดินหน้าต่อก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็ม  ความล่าช้าดังกล่าวยิ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาคเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากปฏิกิริยาของตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงทันทีหลังมีคำวินิจฉัย  แม้ว่าสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะระบุว่าปัญหาหลักอยู่ที่โครงสร้างเศรษฐกิจมากกว่าการเมืองโดยตรงก็ตาม  อย่างไรก็ตาม ยิ่งกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าออกไป ภาวะนโยบายที่ชะงักงันก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยากลำบาก

4. แผนและไทม์ไลน์การจัดตั้งรัฐบาลใหม่

4.1 กระบวนการทางรัฐสภา

​ภายหลังการพ้นจากตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ขั้นตอนสำคัญลำดับถัดไปคือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยรัฐสภา  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 272 การพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องกระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

​การลงคะแนนจะกระทำโดยเปิดเผยด้วยวิธีการขานชื่อเรียงตามตัวอักษร  โดยผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งปัจจุบันคือ 376 เสียงขึ้นไป  หากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ก่อนการเลือกตั้งไม่สำเร็จ สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (ประมาณ 500 เสียง) อาจมีมติให้เสนอชื่อบุคคลนอกบัญชีรายชื่อได้  ซึ่งเป็นกระบวนการที่เพิ่มความยืดหยุ่นในการหาทางออกทางการเมืองแต่ก็อาจนำมาซึ่งความยืดเยื้อได้เช่นกัน

4.2 การวิเคราะห์ตัวแปรทางการเมืองและเงื่อนไขสำคัญ

​กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในครั้งนี้มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง เนื่องจากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร  ได้ประกาศเงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่  โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

  1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการทั่วไปใหม่

  1. คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง

  1. พรรคประชาชนยืนยันที่จะไม่ร่วมรัฐบาล และจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านต่อไป

​เงื่อนไขเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่กำลังรวมตัวกันอยู่  อาจไม่มีเสียง ส.ส. เพียงพอที่จะรวมกับเสียง ส.ว. เพื่อให้ได้ถึง 376 เสียง  หากพรรคร่วมรัฐบาลต้องการเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชนเพื่อ "ผ่าทางตัน"  ก็จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้หรือไม่ หากยอมรับ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในครั้งนี้อาจกลายเป็นเพียง "รัฐบาลเฉพาะกิจ" ที่มีอายุสั้นและมีภารกิจหลักในการยุบสภาและทำประชามติ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะยาว

4.3 กรอบเวลาเชิงคาดการณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

​แม้ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคเศรษฐกิจ เช่น สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) จะแสดงความคาดหวังให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน  เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น แต่ในทางกฎหมาย รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายหลังการเลือกนายกรัฐมนตรี  การไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่ความยืดเยื้อทางการเมือง หากการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้ตั้งแต่การโหวตครั้งแรก ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมือง ทำให้สถานการณ์ความไม่แน่นอนดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน



5. การประเมินความเสี่ยงและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์

5.1 ความเสี่ยงที่สำคัญ

​การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในครั้งนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องได้รับการประเมินและบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน ได้แก่:

  1. ความเสี่ยงทางกฎหมาย: คำวินิจฉัยที่มีผลย้อนหลังทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางกฎหมายต่อมติคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 29 สิงหาคม 2568 ความเป็นไปได้ที่จะมีการยื่นฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนมติหรือการกระทำเหล่านั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง.


  1. ความเสี่ยงทางการเมือง: หากการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถรวมเสียงได้ถึง 376 เสียงในการโหวตครั้งแรก อาจนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางการเมือง (Political Impasse) ที่ยืดเยื้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศโดยรวม.


  1. ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: ภาวะสุญญากาศทางนโยบายที่ยืดเยื้ออันเป็นผลมาจากข้อจำกัดของรัฐบาลรักษาการ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ  ทำให้การดำเนินนโยบายที่สำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก


5.2 ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

​จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนควรพิจารณาข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ดังต่อไปนี้:

  • ด้านกฎหมาย: จัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อทบทวนและประเมินความชอบด้วยกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และเตรียมแผนรับมือหากมีการยื่นฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนมติเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.
  • ด้านการเมือง:
    • ​ฝ่ายที่พยายามจัดตั้งรัฐบาลควรมีการประเมินสถานการณ์และจำนวนเสียงอย่างรอบคอบ เพื่อให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างราบรื่น
    • ​ควรมีการเตรียม "แผนสอง" หากการโหวตในครั้งแรกไม่สำเร็จ โดยอาจพิจารณาการเจรจาอย่างจริงจังกับพรรคการเมืองอื่น ๆ
    • ​พิจารณาอย่างรอบคอบถึงเงื่อนไขของพรรคประชาชน ว่าจะยอมรับหรือไม่ และผลกระทบที่ตามมาต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะสั้นและระยะยาว.
  • ด้านการสื่อสาร: จัดทำแผนการสื่อสารที่โปร่งใสและเป็นเอกภาพเพื่อสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชนและนานาชาติ โดยชี้แจงสถานะทางกฎหมายปัจจุบันของรัฐบาล และยืนยันว่ากลไกทางรัฐสภายังคงทำงานเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วที่สุด.
หากไม่สามารถหาทางออกได้อย่างเป็นรูปธรรมควรปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญ

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend



วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ความผิดต่อเสรีภาพ หน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

      ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ    

      ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขัง หรือปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวังโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 มาตรา 297 หรือมาตรา 298 นั้น  

      องค์ประกอบมีดังนี้ 

       1.ผู้ใด

       2.หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

       3.โดยเจตนา(องค์ประกอบภายใน)

       ข้อที่จะนำมาพิจารณาก็คือองค์ประกอบข้อสอง คือ การหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดๆให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย การกระทำตามมาตรานี้ย่อมอาจเป็นการกระทำโดยเคลื่อนไหว หรือเป็นการงดเว้นเคลื่อนไหวร่างกายตามมาตรา 59 วรรคสุดท้าย ก็ได้ปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปก็คือคำว่า "หน่วงเหนี่ยว"หรือคำว่า"กักขัง"หมายความว่าอย่างไร คำว่า“ หน่วงเหนี่ยว"หมายความว่าทำให้บุคคลต้องอยู่ตรง ณ ที่นั้นไม่ให้ไปยังจุดอื่นหรือพูดง่าย ๆ คือตั้งตัวเขาไว้ตรง ณ ที่นั้นยกตัวอย่างเช่น ก. ล่ามโซ่ ๆ ไว้กับเสาย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายไปยังที่อื่นส่วนคำว่า“ กักขัง” หมายถึงการบังคับให้บุคคลอยู่ในที่จำกัด เช่นการขังไว้ในห้องน้ำอย่างไรก็ตามบางกรณีเป็นได้ทั้งสองอย่างยกตัวอย่าง เช่นการจับขังไว้ในห้องน้ำก็ย่อมไปที่อื่นไม่ได้เป็นหน่วงเหนียวและในขณะเดียวกันก็เป็นการบังคับให้อยู่ในที่ จำกัด ก็เป็นการกักขังอยู่ในตัว ฉุดหญิงลงจากรถยนต์ที่นั่งมาด้วยกันดึงเข้าไปในโรงเรียนหน่วงเหนี่ยวไว้ในโรงเรียนไม่มีเสรีภาพจะไปไหนดังที่ต้องการได้เป็นการหน่วงเหนียวหรือถูกขังให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายฎีกาที่ ๒๕๖๐/๒๕๑๗ หรือหญิงหนีลงไปในบ่อไม่กล้าขึ้นจากน้ำเพราะเกรงจำเลยจะมาทำร้าย (ฎีกาที่ ๑๕๑๔/๒๕๓๒) การจับโดยไม่มีหมายจับ (ฎีกาที่ ๑๐๘๙/๒๕๑๒) หรือจำเลยอุ้มผู้เสียหายขึ้นไปบนรถ (ฎีกาที่ ๙๘๕/๒๕๔๖) การฉุดขึ้นรถยนต์ก็เป็นการหน่วงเหนี่ยว (ฎีกาที่ ๒๓๙/๒๕๔๗) สถานที่กักขังอาจจะเป็นห้องหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่งก็ได้เช่นในรถในเรือหรือบนเครื่องบินมีนักกฎหมายบางท่านเห็นถึงขนาดว่าการ จำกัด ไม่ให้ออกไปจากท้องที่เช่นอำเภอหรือจังหวัดก็เป็นกักขังตามมาตรา ๓๑๐ นี้ได้ตามมาตรา ๓๑๐ ในส่วนของการกระทำนอกจากจะมีเรื่องการหน่วงเหนี่ยวหรือการกักขังซึ่งเห็นอยู่ในตัวว่าทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายมาตรา ๓๑๐ ยังบัญญัติต่อไปว่าหรือการกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเพราะฉะนั้นการกระทำตามมาตรา ๓๑๐ นี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็น แต่เฉพาะเรื่องหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังยกตัวอย่างเช่นบอกก. ว่าเดี๋ยวครูกำลังจะมาหาโดยมีเจตนาที่จะรั้งไม่ให้ ก. ไปไหนเพื่อให้หลงเชื่อ ซึ่งเป็นความเท็จเช่นนี้ก็เป็นการหน่วงเหนียว ก ไว้โดยการใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำด้วยประการอื่นใดปัญหาว่าปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามมาตรา ๓๑๐ มีความหมายกว้างแคบแค่ไหนเพราะคำว่าเสรีภาพในร่างกายมีความหมายกว้างมากอาจจะหมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายทุก ๆ อย่างหรืออาจจะหมายถึงเสรีภาพในการขีดในการเขียนในการคิดท่านศาสตราจารย์จิตติติงศภัทิย์และนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่าคำว่า“ เสรีภาพ "ตามมาตรา ๓๐๐ นี้จะต้องตีความว่าเป็นเสรีภาพในร่างกายในทำนองเดียวกับการหน่วงเหนี่ยวกักขังคือเป็นการ จำกัด การเคลื่อนไหวอวัยวะของร่างกายลงอยู่ในขอบเขต จำกัด เช่นถูกใส่กุญแจมือ (ฎีกาที่ ๑๕.๓๐ / ๒๕๔๒ และฎีกาที่ ๗๔๔/๒๕๐๑) หรือเช่นใส่กลอนขังไว้ในห้องนอน (ฎีกาที่ ๓๖๖๘/๒๕๕๕) ดังได้กล่าวแล้วว่าการกระทำตามมาตรา ๓๑๐ รวมถึงการงดเว้นการซึ่งจะต้องกระทำการเพื่อป้องกันผลตามมาตรา ๕๙ วรรคสุดท้ายด้วยและถ้าพิจารณาตามมาตรา ๓๑๐ จะเห็นได้ว่าวิธีการหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นกระทำด้วยประการใด ๆ ก็ได้ไม่ จำกัด ซึ่งต่างไปจากมาตรา ๓๐๙ ที่ส่วนของการกระทำคือทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายอื่น ๆ หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายดังนั้นมาตรา ๓๐๙ เป็นการ จำกัด วิธีในการกระทำ แต่ไม่จํากัดเสรีภาพที่เสียไปว่าจะเป็นเสรีภาพประเภทไหน ส่วนมาตรา ๓๐๐ ไม่จำกัด วิธีในการกระทำ แต่มุ่งหมายจำกัดเสรีภาพที่เสียไปเฉพาะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกาย คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒๔๓/๒๕๔๒ จำเลยไม่มีหมายจับจับผู้เสียหายไม่แจ้งข้อหาไม่ส่งมอบผู้เสียหายให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกลับนำไปควบคุมที่ด่านตรวจผิดมาตรา ๑๕๒ และ ๓๑๐ และดูฎีกาที่ ๑๒๐๘/๒๕๐๘ ฎีกาที่ ๑๐๗๗/๒๕๐๕ ฎีกาที่ ๕๗/๒๕๑๗) ในคดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องรุนแรงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษถ้าผู้กระทำกระทำโดยมีอำนาจตามกฎหมายก็ไม่เป็นความผิดเช่นเจ้าพนักงานตำรวจจับผู้ต้องหาซึ่งกระทำความผิดฎีกาที่ ๔๓๗/๒๕๕๕ ซึ่จับไว้เพราะจำเลยเมาสุราอาละวาดหรือในกรณีเช่นเด็กอายุ 6 ขวบเข้าไปลักมะม่วงในสวนเจ้าของสวนจับเด็กมัดมือคร่อมไว้กับต้นมะม่วงประมาณ 10 นาทีแล้วมารดาของเด็กมารับตัวเด็กไปศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของเด็กเป็นความผิด แต่กฎหมายไม่เอาโทษเจ้าของสวนมีอำนาจจับเพื่อระงับเหตุการณ์อันจะพึงมีไม่เป็นความผิด (ฎีกาที่ ๑๔๖/๒๔๗๒) ป. ไล่ทำร้าย ล ไปถึงหน้าบันไดเรือน ล ตี ป เป็นการป้องกันตัวสมควรแก่เหตุและการที่ ล จับ ป มัดเอาไว้เพื่อส่งเจ้าหน้าที่ไม่มีความผิด (ฎีกาที่ ๗๓๗/๒๔๗๓) ไล่ทําร้าย

     ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าราษฎรมีอำนาจจับผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๗๘ หรืออย่างกรณีเช่นนายประกันมีอำนาจจับบุคคลที่ตนประกันไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๑๗ (ฎีกาที่ ๑๖๒/๒๕๕๖) หรือในกรณีที่ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจในการสั่งถอนประกันทำให้จำเลยต้องถูกคุมขังก็ไม่เป็นความผิด (ฎีกาที่ ๔๖๖/๒๕๑๘ ฎีกาที่ ๕๔/๒๕๓๐ หรือศาลสั่งตามอำนาจให้รอฟังคำสั่งฎีกาที่ ๒๕๘/๒๕๒๔) แต่การจับคนโดยไม่มีมูลหรือไม่มีอำนาจเป็นการแกล้งจับนอกจากจะเป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ นี้แล้วยังอาจจะเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ได้อีกด้วย (ฎีกาที่ ๒๕๕๔ ๒๕๒๐ เป็นต้น) มีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งว่าการกระทำให้ปราศจากเสรีภาพกฎหมายมุ่งประสงค์ถึงตัวบุคคลดังนั้นถ้าผู้ถูกกระทำยังอาจเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เช่นนี้ฎีกาวินิจฉัยว่าไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๑๐ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๐๔/๒๕๑๘ ถนนซอยในที่ดินเอกชนซึ่งแบ่งให้เช่าปลูกบ้านประชาชนชอบที่จะเข้าออกติดต่อกันได้เป็นสาธารณะการเอารถยนต์ขวางกันไม่ให้รถข้างในออกจากซอยได้นั้นไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ แต่การที่ไม่ยอมถอยรถให้รถข้างในออกไปได้เป็นการข่มเหงตามมาตรา ๒๙๗ ล่ามโซ่ใส่กุญแจประตูใหญ่ทำให้โจทก์ออกจากบริเวณบ้านไม่ได้โจทก์ต้องปืนกำแพงรั้วกระโดดลงมาได้รับบาดเจ็บเป็นความผิดตามมาตรา ๓๑๐ วรรคแรก (ฎีกาที่ ๔๒๘/๒๕๒๐) ใส่กุญแจประตูตึกแถวผู้เช่าเข้าห้องไม่ได้ไม่ผิด ๓๑๐ (ฎีกาที่ ๒๑ ๒๕๓๑)  ก

      จากฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่าบุคคลที่อยู่ในรถสามารถเดินลงจากรถไปยัง ณ ที่อื่น ๆ ได้หรือเดินจากห้องเช่าไปยังที่อื่นได้ตามปกติศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพทำนองเดียวกันกับการขับรถยนต์ปาดหน้าทำให้ต้องหยุดรถไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ (ฎีกาที่ ๑๗๑๗/๒๕๒๗) 

      องค์ประกอบข้อสุดท้ายคือองค์ประกอบภายในส่วนของจิตใจ ได้แก่ เจตนาตามมาตรา ๕๙ คือมีเจตนาที่จะหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการอื่นใดทำให้บุคคลปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

       คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๐๒๕/๒๕๒๑ จำเลยกับพวกควบคุมตัวผู้เสียหายกับพวกเป็นประกันเพื่อการสะดวกแก่การพาทรัพย์ไปอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๙ ๓๑๐ อีกกรรมหนึ่งต่างหาก (การควบคุมเป็นการกระทำต่อเสรีภาพไม่ใช่การกระทำต่อเนื้อตัวจิตใจจึงมิใช่การใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานชิงทรัพย์เว้นแต่การหน่วงเหนี่ยวเป็นการประทุษร้ายอยู่ในตัวด้วย) 

       คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๔๒/๒๕๕๙ บ. กับอ. เคยอยู่กินกันอย่างสามีภริยากันได้ ๓ เดือน อ. จึงออกจากบ้านไปบ. สามีพบ อ. ชวน อ. กลับบ้าน อ. ไม่ยอม บ. จึงฉุด อ. เพื่อให้ไปอยู่กินด้วยกันตามเดิมถึงแม้ อ. จะมิใช่ภริยาโดยถูกต้องตามกฎหมายเพราะมิได้จดทะเบียน บ. ก็ไม่มีความผิด (ดูฎีกาที่ ๔๓๐/๒๕๓๒) ซึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อว่าตนมีอำนาจที่จะกระทำได้ (ฎีกาที่ ๑๒๒๑/๒๔๗๙) กรณีเหล่านี้เป็นกรณีที่อ้างว่าสำคัญ

       





























   


วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กองมรดกตกทอดเมื่อใด และตกทอดแก่ผู้ใดบ้าง

    กฎหมายที่จะนำมาปรับใช้ในเรื่อง มรดก คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6

    ตาม มาตรา 1599 บัญญัติว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น     

    เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท        

    คำว่าตายหมายถึงการตายโดยธรรมชาติและการตายโดยศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1602 วรรคหนึ่ง 

    กองมรดกจะตกทอดแก่ผู้ใดบ้าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1599 วรรคหนึ่งใช้คำว่าทายาทซึ่งเป็นคำกลางๆแต่ตามมาตรา 1603 ได้แบ่งทายาทออกเป็น 2 ประเภทคือทายาทที่เรียกว่าทายาทโดยธรรมซึ่งหมายถึงทายาทตามมาตรา 1629 ซึ่งเป็นมาตราหลักมาตรา 1607,1615 วรรค 2, 1639 ถึงมาตรา 1645 และอีกประเภท คือ ทายาทโดยพินัยกรรม ซึ่งทรัพย์สินใดถ้าเจ้าของทรัพย์สินทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์ของตนไว้ตั้งแต่ก่อนตายแล้ว ทรัพย์สินนั้นจะไม่ตกทอด ทายาทโดยธรรม

    ทายาทมี 2 ประเภท คือ 1 ทายาทโดยธรรม  2 ผู้รับพินัยกรรม

    ดังนั้นจะต้องพิจารณาก่อนว่า ก่อนตายเจ้ามรดกผู้ตายได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองไว้หรือไม่หากทรัพย์สินนั้นเจ้ามรดกมิได้มีการทำพินัยกรรมไว้หรือทำพินัยกรรมไว้แต่พินัยกรรมใช้บังคับไม่ได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นสิทธิแก่ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย

    ทายาทโดยธรรมเกิดขึ้นตามผลของกฎหมายจะมีส่วนแบ่งในการรับมรดกตามมาตรา 1629 ถึงมาตรา 1638 

    ตามมาตรา 1629 บัญญัติว่า ทายาทโดยธรรม 6 ลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ 

      1.ผู้สืบสันดาน

      2.บิดามารดา

      3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

      4.พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน

      5.ปู่ ย่า ตา ยาย 

      6.ลุง ป้า น้า อา  

    มาตรา 1630 บัญญัติว่า ตราบใดที่มีทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายแล้วแต่กรณีในลำดับหนึ่งๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 ทายาทผู้ที่อยู่ในลำดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลย 

    แต่ความในวรรคก่อนนี้มิให้ใช้บังคับในกรณีเฉพาะที่มีผู้สืบสันดานคนใดยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่กันแล้วแต่กรณีและมีบิดามารดายังมีชีวิตที่อยู่ในกรณีเช่นนั้นให้บิดามารดาได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร

    คำว่าผู้สืบสันดาน ตามมาตรา 1629 วรรค 1 (1) หมายถึงบุตรของเจ้ามรดกเท่านั้น 

    ส่วนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ตาม มาตรา 1629 วรรคหนึ่ง (3) หรือ ร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ตาม (4) ถือตามความเป็นจริง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2545, 1397/2551)

    ถ้าเจ้ามรดกเป็นมารดาผู้สืบสันดานคือบุตรไม่ว่าบิดามารดาจะได้จดทะเบียนสมรสกันหรือไม่

    ถ้าเจ้ามรดกเป็นบิดาผู้สืบสันดานได้แก่บุตรที่เกิดแต่บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1536 ถึงมาตรา 1538 บุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่บิดารับรองแล้วหรือบุตรบุญธรรมตามมาตรา 1627 บุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่ได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรตามมาตรา 1547 ซึ่งบุตรที่เกิดจากบิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันแม้ในภายหลังศาลจะมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ตามก็เป็นผู้สืบสันดาน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2494)

     ดังนั้นเมื่อมีบุคคลใดตาย และมีทรัพย์สิน จะต้องพิจารณาก่อนว่า ทรัพย์สินนั้นผู้ตายเคยทำพินัยกรรมไว้หรือไม่ ถ้ามีการทำพินัยกรรมไว้สิทธิจะตกแก่ผู้รับพินัยกรรมตามที่ผู้ตายได้แสดงเจตนาไว้ก่อนตาย ถ้าไม่มีพินัยกรรม ทรัพย์สินนั้นจะตกแก่ทายาทโดยธรรม ตามลำดับ จาก 1 ถึง 6 

     สิทธิระหว่างทายาทในลำดับต่างๆ ทายาทในลำดับต้นจะตัดทายาทลำดับถัดไป เช่น ถ้าทายาทลำดับที่ 1 มีชีวิตอยู่ หรือตายแล้วแต่มีการรับมรดกแทนที่ ทายาทโดยธรรมที่อยู่ในลำดับ 2 ถึง 6 จะไม่มีสิทธิรับมรดกเลย 

     ข้อยกเว้นการตัดลำดับทายาท ตามมาตรา 1629 คือ ถ้าผู้ตายมีทายาทในลำดับที่ 1 คือผู้สืบสันดานหรือมีการรับมรดกแทนที่ และมีบิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ บิดามารดามีสิทธิรับมรดกด้วยโดยได้ส่วนแบ่งเสมือนเป็นบุตรของผู้ตาย

     การรับมรดกแทนที่ของทายาทโดยธรรมในลำดับที่ 1 ตามมาตรา 1629 เช่น ทายาทลำดับที่ 1 ตายก่อนเจ้ามรดก แต่มีบุตร บุตรของทายาทลำดับที่ 1 มีสิทธิรับมรดกแทนที่ต่อไปได้ และให้มีการรับมรดกแทนที่เช่นนี้ต่อไปจนหมดสาย พูดง่ายๆ คือ ลูก ของเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดก ส่วน หลาน เหลน ลื่อ ฯลฯ ของเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดกแทนที่ 

     ส่วนกรณีทายาทตาม มาตรา 1629 ลำดับที่ 3 ,4, 6 คือพี่น้องของเจ้ามรดก หรือ ลุง ป้า น้า อา ถ้าตายก่อนเจ้ามรดก ลูกก็รับมรดกแทนที่ได้ ถ้าลูกตายอีก หลานก็รับมรดกแทนที่ ถ้าหลานตายอีก เหลนก็รับมรดกแทนที่ ถ้าเหลนตายอีก ลื่อก็รับมรดกแทนที่ ฯลฯ 

     ส่วนกรณีทายาทตาม มาตรา 1629 ลำดับที่ 2 คือบิดามารดา และ ลำดับที่ 5 คือ ปู่ ย่า ตา ยาย กฎหมายห้ามมิให้ มีการรับมรดกแทนที่กัน แต่ให้แบ่งมรดกให้แก่ทายาทในลำดับเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ คือ ถ้า เจ้ามรดกตาย บิดาของเจ้ามรดกก็ตาย สิทธิจะตกแก่มารดาเท่านั้น จะไม่ตกแก่พี่น้องของเจ้ามรดกซึ่งเป็นลูกของบิดา ถ้าปู่ของเจ้ามรดกตาย สิทธิก็จะตกแก่ย่า ตา ยาย เท่านั้น จะไม่ตกแก่ลูกของปู่ คือ บิดา เพราะ ปู่จะมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกก็ต่อเมื่อ บิดามารดาของเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทในลำดับก่อนตายหมดแล้ว หากให้มีการรับมรดกแทนที่กัน ก็จะทำให้วนไปวนมา งง

     ส่วนคู่สมรสของเจ้ามรดกที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้องแบ่งสินสมรส ออกไปก่อน ในทางปฏิบัติ ก่อนจะแบ่งมรดก ต้อง แบ่งสินสมรส ออกไปก่อน ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งจะเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก ซึ่งทายาทมีสิทธินำส่วนนี้มาแบ่งกันได้ และคู่สมรส ก็ถือว่า เป็นทายาท มีสิทธิรับมรดกในทรัพย์สินซึ่งเป็นส่วนของเจ้ามรดกได้อีกในฐานะทายาท

     จบเพียงแค่นี้ ติดตามได้ในบทความต่อไป

           Add Friend   

                                   

                                  

      

      

     

              

    





   

  

       

    

   






   

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กองมรดก มีอะไรบ้าง

           ความหมายของคำว่า กองมรดก จะต้องทำความเข้าใจให้ได้เพราะหากเป็น กองมรดก แล้วต้องดำเนินการตามมาตรา 1599 ถึงมาตรา 1755 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

           ความหมายของ กองมรดก อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 โดยต้องเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิของเจ้ามรดกซึ่งเจ้ามรดกมีอยู่แล้วในเวลาที่เจ้ามรดกตาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2513,2604/2516,17/2524)

           คำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์มรดกที่ควรจดจำมีดังนี้

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2401/ 2515 ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่าแม้เงินพิพาทจะไม่ใช่ทรัพย์มรดกแต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 6 ลักษณะมรดกเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในอันที่จะใช้บังคับได้ศาลฎีกาจึงมีคำวินิจฉัยว่าเงินพิพาทเสมือนหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกจึงตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 ถึงมาตรา 1638 ต่อไป 

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 370 / 2506 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678 - 680/2535 และ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8485/2544 วินิจฉัยเป็นแนวเดียวกันว่าดอกผลของทรัพย์มรดกไม่ใช่ทรัพย์มรดกโดยเฉพาะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678-680/2535 ได้วินิจฉัยไว้ด้วยว่าเมื่อทายาทปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์ซึ่งเป็นดอกผลของทรัพย์มรดกจึงไม่ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2542 วินิจฉัยว่า เงินประกันชีวิตตามมาตรา 897 มิใช่กองมรดก โดยวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดบ้างเป็นกองมรดก

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2508 คำพิพากษานี้วินิจฉัยว่าการทำพินัยกรรมยกศพ เป็นการต่างๆที่ผู้ตายพึงกระทำได้ โดยมิได้วินิจฉัยโดยตรงว่าศพเป็นทรัพย์สินหรือไม่

           เมื่อทราบความหมายของกองมรดกแล้วต่อไปก็จะต้องรู้ว่ากองมรดกจะตกทอดเมื่อใด โดยผู้เขียนจะนำเสนอต่อไป



              Add Friend   

                                   

                                  

โพสต์แนะนำ

ข้อพิพาทและการจัดการที่ดินมรดก: มุมมองทางกฎหมายและแนวทางการแก้ไข

  ข้อพิพาทและการจัดการที่ดินมรดก: มุมมองทางกฎหมายและแนวทางการแก้ไข ​1. บทนำ: หลักการพื้นฐานของที่ดินมรดกตามกฎหมายไทย ​1.1 นิยามและขอบเขตขอ...