วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2568

แผนการค้นคว้าขั้นตอนทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วน: กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง

 

แผนการค้นคว้าขั้นตอนทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อดำเนินการอย่างเร่งด่วน: กรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง

1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร

​ในวันที่ 29 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วย  คำวินิจฉัยดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบเชิงกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากศาลได้กำหนดให้การพ้นจากตำแหน่งมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งให้ น.ส. แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

​การพ้นจากตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะไม่ได้ส่งผลให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองโดยทันที เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีชุดเดิมยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปในฐานะ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ"  โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี  อย่างไรก็ตาม สถานะของรัฐบาลรักษาการมีข้อจำกัดทางอำนาจที่สำคัญ ทำให้ไม่สามารถผลักดันนโยบายหรือโครงการขนาดใหญ่ที่สร้างภาระผูกพันต่อรัฐบาลชุดใหม่ได้  สิ่งนี้ได้นำไปสู่ภาวะสุญญากาศทางนโยบาย ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดหุ้น

​รายงานฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานะทางกฎหมายที่ซับซ้อนภายหลังคำวินิจฉัยของศาล และนำเสนอแผนการดำเนินการเชิงรุกเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยได้จัดทำแผนการค้นคว้าขั้นตอนทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา ได้แก่ ความชอบด้วยกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ความยืดเยื้อของกระบวนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และปัจจัยทางการเมืองที่อาจขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล รายงานจึงได้นำเสนอข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่ การประเมินผลกระทบทางกฎหมายอย่างเร่งด่วน การกำหนดแผนการเจรจาทางการเมืองที่ชัดเจน และการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง



2. การวิเคราะห์เชิงลึก: ผลทางกฎหมายจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

2.1 รายละเอียดของคำวินิจฉัยและผลทางกฎหมาย

​คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 มีต้นกำเนิดมาจากคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 36 คน ที่ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่  โดยมีข้อกล่าวหาว่า น.ส. แพทองธาร ขาดคุณสมบัติและมีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา

​ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในเวลา 15.00 น. ของวันที่ 29 สิงหาคม 2568 และมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้ น.ส. แพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  โดยศาลเห็นว่าการกระทำของ น.ส. แพทองธาร เป็นการกระทำที่ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวทางการเมืองเหนือผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติ และเป็นการลดทอนเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและของประเทศในเวทีนานาชาติ  ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ  ผลของคำวินิจฉัยนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตามรัฐธรรมนูญด้วย

2.2 การวิเคราะห์ผลย้อนหลังของคำวินิจฉัย

​หนึ่งในประเด็นที่สร้างความซับซ้อนทางกฎหมายอย่างมากคือการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การพ้นจากตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีมีผลย้อนหลัง (Retroactive Effect) ไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ศาลได้มีคำสั่งให้ น.ส. แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว  ตามหลักการของคำวินิจฉัยนี้ สถานะของความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส. แพทองธาร สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และในฐานะที่คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง  สถานะของคณะรัฐมนตรีเต็มคณะจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่วันเดียวกันด้วย

​เหตุการณ์นี้นำมาซึ่งความคลุมเครือทางกฎหมายอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับมติคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 29 สิงหาคม 2568 ในช่วงเวลาดังกล่าว แม้ว่า น.ส. แพทองธาร จะหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีชั่วคราว แต่คณะรัฐมนตรีชุดเดิมโดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมและมีมติต่าง ๆ ที่สำคัญ  ตามกฎหมายแล้ว คณะรัฐมนตรีรักษาการมีข้อจำกัดด้านอำนาจตามมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ โดยห้ามอนุมัติงานหรือโครงการที่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลชุดต่อไป หรือสร้างภาระผูกพันทางการเงิน  เมื่อศาลวินิจฉัยให้การพ้นจากตำแหน่งมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 คำถามทางกฎหมายที่สำคัญจึงเกิดขึ้นว่ามติที่ออกมาในช่วงเวลานั้นถือเป็นการกระทำของ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" ที่มีข้อจำกัดทางอำนาจหรือไม่ หากมีการตีความว่าอำนาจเต็มของคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 แล้ว มติที่เข้าข่ายการกระทำที่เกินอำนาจของคณะรัฐมนตรีรักษาการอาจถูกโต้แย้งหรือเพิกถอนในภายหลังได้ สิ่งนี้สร้างความเสี่ยงทางกฎหมายสูงสำหรับทั้งฝ่ายบริหารและภาคธุรกิจที่ได้รับอนุมัติโครงการหรือสัญญาต่าง ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว

2.3 ผลกระทบทางกฎหมายต่อมติคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา

​สถานะของ "คณะรัฐมนตรีรักษาการ" มีบทบาทสำคัญในการป้องกันสุญญากาศทางการเมืองและรักษาความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน  อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญได้กำหนดข้อจำกัดอย่างชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลรักษาการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือสร้างภาระผูกพันให้กับรัฐบาลใหม่ในอนาคต

​ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (ก.ค. - ส.ค. 2568) ที่คณะรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาวะที่นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ มติหลายประการได้ถูกพิจารณาและอนุมัติ หากมติเหล่านี้มีลักษณะเป็นการอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ การใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือการกระทำใด ๆ ที่เข้าข่าย "การสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป"  ก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายในอนาคต  ความเสี่ยงนี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจากการที่คำวินิจฉัยของศาลมีผลย้อนหลัง ทำให้มติทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 อาจถูกพิจารณาใหม่ภายใต้กรอบอำนาจที่จำกัดของรัฐบาลรักษาการ สิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการทบทวนอย่างเร่งด่วนโดยฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อป้องกันปัญหาการฟ้องร้องทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต



3. กรอบอำนาจและหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีรักษาการ

3.1 สถานะทางกฎหมายและการทำหน้าที่

​ภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ รัฐธรรมนูญมาตรา 168 ได้บัญญัติให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่  ซึ่งเป็นการทำหน้าที่ในฐานะ “คณะรัฐมนตรีรักษาการ”  โดยในระหว่างนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้ก่อนหน้า จะรับหน้าที่เป็นผู้รักษาการนายกรัฐมนตรี  เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน และป้องกันมิให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้น

3.2 ข้อจำกัดทางอำนาจ (The "Lame Duck" Conundrum)

​แม้ว่าคณะรัฐมนตรีรักษาการจะมีอำนาจในการบริหารงานประจำ แต่รัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดข้อจำกัดที่สำคัญตามมาตรา 169 เพื่อป้องกันการใช้อำนาจเกินขอบเขตในช่วงเปลี่ยนผ่าน  ข้อจำกัดที่สำคัญ ได้แก่:

  1. ห้ามอนุมัติงานหรือโครงการที่สร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก

  1. ห้ามอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง

  1. ห้ามแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของรัฐบาลใหม่

​ภาวะที่รัฐบาลมีอำนาจจำกัดเช่นนี้ได้นำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า "สุญญากาศทางนโยบาย" (Policy Vacuum) แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะสามารถอุดช่องโหว่ด้าน "สุญญากาศทางการเมือง" ได้ แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถเดินหน้าผลักดันนโยบายสำคัญหรือโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องมีการอนุมัติใหม่ได้อย่างเต็มที่  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือความล่าช้าของนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ เช่น โครงการ Digital Wallet ซึ่งมีโอกาสเดินหน้าต่อก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มีอำนาจเต็ม  ความล่าช้าดังกล่าวยิ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาคเศรษฐกิจ ดังจะเห็นได้จากปฏิกิริยาของตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงทันทีหลังมีคำวินิจฉัย  แม้ว่าสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะระบุว่าปัญหาหลักอยู่ที่โครงสร้างเศรษฐกิจมากกว่าการเมืองโดยตรงก็ตาม  อย่างไรก็ตาม ยิ่งกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้าออกไป ภาวะนโยบายที่ชะงักงันก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างยากลำบาก

4. แผนและไทม์ไลน์การจัดตั้งรัฐบาลใหม่

4.1 กระบวนการทางรัฐสภา

​ภายหลังการพ้นจากตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ขั้นตอนสำคัญลำดับถัดไปคือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยรัฐสภา  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 272 การพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องกระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)

​การลงคะแนนจะกระทำโดยเปิดเผยด้วยวิธีการขานชื่อเรียงตามตัวอักษร  โดยผู้ที่ได้รับเลือกจะต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งปัจจุบันคือ 376 เสียงขึ้นไป  หากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ก่อนการเลือกตั้งไม่สำเร็จ สมาชิกรัฐสภาจำนวนไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (ประมาณ 500 เสียง) อาจมีมติให้เสนอชื่อบุคคลนอกบัญชีรายชื่อได้  ซึ่งเป็นกระบวนการที่เพิ่มความยืดหยุ่นในการหาทางออกทางการเมืองแต่ก็อาจนำมาซึ่งความยืดเยื้อได้เช่นกัน

4.2 การวิเคราะห์ตัวแปรทางการเมืองและเงื่อนไขสำคัญ

​กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในครั้งนี้มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง เนื่องจากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร  ได้ประกาศเงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับการโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่  โดยมีสาระสำคัญดังนี้:

  1. นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อให้มีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการทั่วไปใหม่

  1. คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง

  1. พรรคประชาชนยืนยันที่จะไม่ร่วมรัฐบาล และจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านต่อไป

​เงื่อนไขเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาลอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลเดิมที่กำลังรวมตัวกันอยู่  อาจไม่มีเสียง ส.ส. เพียงพอที่จะรวมกับเสียง ส.ว. เพื่อให้ได้ถึง 376 เสียง  หากพรรคร่วมรัฐบาลต้องการเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชนเพื่อ "ผ่าทางตัน"  ก็จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะยอมรับเงื่อนไขเหล่านี้หรือไม่ หากยอมรับ การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ในครั้งนี้อาจกลายเป็นเพียง "รัฐบาลเฉพาะกิจ" ที่มีอายุสั้นและมีภารกิจหลักในการยุบสภาและทำประชามติ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะยาว

4.3 กรอบเวลาเชิงคาดการณ์ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

​แม้ว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคเศรษฐกิจ เช่น สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) จะแสดงความคาดหวังให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน  เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น แต่ในทางกฎหมาย รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายหลังการเลือกนายกรัฐมนตรี  การไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอนนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่ความยืดเยื้อทางการเมือง หากการเจรจาไม่สามารถหาข้อสรุปที่ลงตัวได้ตั้งแต่การโหวตครั้งแรก ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมือง ทำให้สถานการณ์ความไม่แน่นอนดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน



5. การประเมินความเสี่ยงและข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์

5.1 ความเสี่ยงที่สำคัญ

​การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในครั้งนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องได้รับการประเมินและบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน ได้แก่:

  1. ความเสี่ยงทางกฎหมาย: คำวินิจฉัยที่มีผลย้อนหลังทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางกฎหมายต่อมติคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 29 สิงหาคม 2568 ความเป็นไปได้ที่จะมีการยื่นฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนมติหรือการกระทำเหล่านั้นเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง.


  1. ความเสี่ยงทางการเมือง: หากการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่สำเร็จ และไม่สามารถรวมเสียงได้ถึง 376 เสียงในการโหวตครั้งแรก อาจนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางการเมือง (Political Impasse) ที่ยืดเยื้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศโดยรวม.


  1. ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ: ภาวะสุญญากาศทางนโยบายที่ยืดเยื้ออันเป็นผลมาจากข้อจำกัดของรัฐบาลรักษาการ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ  ทำให้การดำเนินนโยบายที่สำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก


5.2 ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

​จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนควรพิจารณาข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ดังต่อไปนี้:

  • ด้านกฎหมาย: จัดตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อทบทวนและประเมินความชอบด้วยกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 และเตรียมแผนรับมือหากมีการยื่นฟ้องร้องเพื่อเพิกถอนมติเหล่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.
  • ด้านการเมือง:
    • ​ฝ่ายที่พยายามจัดตั้งรัฐบาลควรมีการประเมินสถานการณ์และจำนวนเสียงอย่างรอบคอบ เพื่อให้การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นไปอย่างราบรื่น
    • ​ควรมีการเตรียม "แผนสอง" หากการโหวตในครั้งแรกไม่สำเร็จ โดยอาจพิจารณาการเจรจาอย่างจริงจังกับพรรคการเมืองอื่น ๆ
    • ​พิจารณาอย่างรอบคอบถึงเงื่อนไขของพรรคประชาชน ว่าจะยอมรับหรือไม่ และผลกระทบที่ตามมาต่อเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะสั้นและระยะยาว.
  • ด้านการสื่อสาร: จัดทำแผนการสื่อสารที่โปร่งใสและเป็นเอกภาพเพื่อสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชนและนานาชาติ โดยชี้แจงสถานะทางกฎหมายปัจจุบันของรัฐบาล และยืนยันว่ากลไกทางรัฐสภายังคงทำงานเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็วที่สุด.
หากไม่สามารถหาทางออกได้อย่างเป็นรูปธรรมควรปรึกษาทนายความผู้เชี่ยวชาญ

***ติดต่อสำนักงานทนายทั่วราชอาณาจักรโทร 0929501440  หรือที่ไลน์ไอดี   pnek***   

Add Friend



วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ความผิดต่อเสรีภาพ หน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

      ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 ผู้ใดหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ    

      ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขัง หรือปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย หรือรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวังโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 290 มาตรา 297 หรือมาตรา 298 นั้น  

      องค์ประกอบมีดังนี้ 

       1.ผู้ใด

       2.หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใด ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

       3.โดยเจตนา(องค์ประกอบภายใน)

       ข้อที่จะนำมาพิจารณาก็คือองค์ประกอบข้อสอง คือ การหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดๆให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย การกระทำตามมาตรานี้ย่อมอาจเป็นการกระทำโดยเคลื่อนไหว หรือเป็นการงดเว้นเคลื่อนไหวร่างกายตามมาตรา 59 วรรคสุดท้าย ก็ได้ปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปก็คือคำว่า "หน่วงเหนี่ยว"หรือคำว่า"กักขัง"หมายความว่าอย่างไร คำว่า“ หน่วงเหนี่ยว"หมายความว่าทำให้บุคคลต้องอยู่ตรง ณ ที่นั้นไม่ให้ไปยังจุดอื่นหรือพูดง่าย ๆ คือตั้งตัวเขาไว้ตรง ณ ที่นั้นยกตัวอย่างเช่น ก. ล่ามโซ่ ๆ ไว้กับเสาย่อมเป็นการหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เคลื่อนไหวร่างกายไปยังที่อื่นส่วนคำว่า“ กักขัง” หมายถึงการบังคับให้บุคคลอยู่ในที่จำกัด เช่นการขังไว้ในห้องน้ำอย่างไรก็ตามบางกรณีเป็นได้ทั้งสองอย่างยกตัวอย่าง เช่นการจับขังไว้ในห้องน้ำก็ย่อมไปที่อื่นไม่ได้เป็นหน่วงเหนียวและในขณะเดียวกันก็เป็นการบังคับให้อยู่ในที่ จำกัด ก็เป็นการกักขังอยู่ในตัว ฉุดหญิงลงจากรถยนต์ที่นั่งมาด้วยกันดึงเข้าไปในโรงเรียนหน่วงเหนี่ยวไว้ในโรงเรียนไม่มีเสรีภาพจะไปไหนดังที่ต้องการได้เป็นการหน่วงเหนียวหรือถูกขังให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายฎีกาที่ ๒๕๖๐/๒๕๑๗ หรือหญิงหนีลงไปในบ่อไม่กล้าขึ้นจากน้ำเพราะเกรงจำเลยจะมาทำร้าย (ฎีกาที่ ๑๕๑๔/๒๕๓๒) การจับโดยไม่มีหมายจับ (ฎีกาที่ ๑๐๘๙/๒๕๑๒) หรือจำเลยอุ้มผู้เสียหายขึ้นไปบนรถ (ฎีกาที่ ๙๘๕/๒๕๔๖) การฉุดขึ้นรถยนต์ก็เป็นการหน่วงเหนี่ยว (ฎีกาที่ ๒๓๙/๒๕๔๗) สถานที่กักขังอาจจะเป็นห้องหรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่งก็ได้เช่นในรถในเรือหรือบนเครื่องบินมีนักกฎหมายบางท่านเห็นถึงขนาดว่าการ จำกัด ไม่ให้ออกไปจากท้องที่เช่นอำเภอหรือจังหวัดก็เป็นกักขังตามมาตรา ๓๑๐ นี้ได้ตามมาตรา ๓๑๐ ในส่วนของการกระทำนอกจากจะมีเรื่องการหน่วงเหนี่ยวหรือการกักขังซึ่งเห็นอยู่ในตัวว่าทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายมาตรา ๓๑๐ ยังบัญญัติต่อไปว่าหรือการกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเพราะฉะนั้นการกระทำตามมาตรา ๓๑๐ นี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็น แต่เฉพาะเรื่องหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังยกตัวอย่างเช่นบอกก. ว่าเดี๋ยวครูกำลังจะมาหาโดยมีเจตนาที่จะรั้งไม่ให้ ก. ไปไหนเพื่อให้หลงเชื่อ ซึ่งเป็นความเท็จเช่นนี้ก็เป็นการหน่วงเหนียว ก ไว้โดยการใช้อุบายหลอกลวงหรือกระทำด้วยประการอื่นใดปัญหาว่าปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามมาตรา ๓๑๐ มีความหมายกว้างแคบแค่ไหนเพราะคำว่าเสรีภาพในร่างกายมีความหมายกว้างมากอาจจะหมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายทุก ๆ อย่างหรืออาจจะหมายถึงเสรีภาพในการขีดในการเขียนในการคิดท่านศาสตราจารย์จิตติติงศภัทิย์และนักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่าคำว่า“ เสรีภาพ "ตามมาตรา ๓๐๐ นี้จะต้องตีความว่าเป็นเสรีภาพในร่างกายในทำนองเดียวกับการหน่วงเหนี่ยวกักขังคือเป็นการ จำกัด การเคลื่อนไหวอวัยวะของร่างกายลงอยู่ในขอบเขต จำกัด เช่นถูกใส่กุญแจมือ (ฎีกาที่ ๑๕.๓๐ / ๒๕๔๒ และฎีกาที่ ๗๔๔/๒๕๐๑) หรือเช่นใส่กลอนขังไว้ในห้องนอน (ฎีกาที่ ๓๖๖๘/๒๕๕๕) ดังได้กล่าวแล้วว่าการกระทำตามมาตรา ๓๑๐ รวมถึงการงดเว้นการซึ่งจะต้องกระทำการเพื่อป้องกันผลตามมาตรา ๕๙ วรรคสุดท้ายด้วยและถ้าพิจารณาตามมาตรา ๓๑๐ จะเห็นได้ว่าวิธีการหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นกระทำด้วยประการใด ๆ ก็ได้ไม่ จำกัด ซึ่งต่างไปจากมาตรา ๓๐๙ ที่ส่วนของการกระทำคือทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายอื่น ๆ หรือมิฉะนั้นก็ต้องเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายดังนั้นมาตรา ๓๐๙ เป็นการ จำกัด วิธีในการกระทำ แต่ไม่จํากัดเสรีภาพที่เสียไปว่าจะเป็นเสรีภาพประเภทไหน ส่วนมาตรา ๓๐๐ ไม่จำกัด วิธีในการกระทำ แต่มุ่งหมายจำกัดเสรีภาพที่เสียไปเฉพาะเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวร่างกาย คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒๔๓/๒๕๔๒ จำเลยไม่มีหมายจับจับผู้เสียหายไม่แจ้งข้อหาไม่ส่งมอบผู้เสียหายให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกลับนำไปควบคุมที่ด่านตรวจผิดมาตรา ๑๕๒ และ ๓๑๐ และดูฎีกาที่ ๑๒๐๘/๒๕๐๘ ฎีกาที่ ๑๐๗๗/๒๕๐๕ ฎีกาที่ ๕๗/๒๕๑๗) ในคดีนี้ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องรุนแรงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษถ้าผู้กระทำกระทำโดยมีอำนาจตามกฎหมายก็ไม่เป็นความผิดเช่นเจ้าพนักงานตำรวจจับผู้ต้องหาซึ่งกระทำความผิดฎีกาที่ ๔๓๗/๒๕๕๕ ซึ่จับไว้เพราะจำเลยเมาสุราอาละวาดหรือในกรณีเช่นเด็กอายุ 6 ขวบเข้าไปลักมะม่วงในสวนเจ้าของสวนจับเด็กมัดมือคร่อมไว้กับต้นมะม่วงประมาณ 10 นาทีแล้วมารดาของเด็กมารับตัวเด็กไปศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำของเด็กเป็นความผิด แต่กฎหมายไม่เอาโทษเจ้าของสวนมีอำนาจจับเพื่อระงับเหตุการณ์อันจะพึงมีไม่เป็นความผิด (ฎีกาที่ ๑๔๖/๒๔๗๒) ป. ไล่ทำร้าย ล ไปถึงหน้าบันไดเรือน ล ตี ป เป็นการป้องกันตัวสมควรแก่เหตุและการที่ ล จับ ป มัดเอาไว้เพื่อส่งเจ้าหน้าที่ไม่มีความผิด (ฎีกาที่ ๗๓๗/๒๔๗๓) ไล่ทําร้าย

     ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าราษฎรมีอำนาจจับผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๗๘ หรืออย่างกรณีเช่นนายประกันมีอำนาจจับบุคคลที่ตนประกันไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๑๗ (ฎีกาที่ ๑๖๒/๒๕๕๖) หรือในกรณีที่ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจในการสั่งถอนประกันทำให้จำเลยต้องถูกคุมขังก็ไม่เป็นความผิด (ฎีกาที่ ๔๖๖/๒๕๑๘ ฎีกาที่ ๕๔/๒๕๓๐ หรือศาลสั่งตามอำนาจให้รอฟังคำสั่งฎีกาที่ ๒๕๘/๒๕๒๔) แต่การจับคนโดยไม่มีมูลหรือไม่มีอำนาจเป็นการแกล้งจับนอกจากจะเป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ นี้แล้วยังอาจจะเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ได้อีกด้วย (ฎีกาที่ ๒๕๕๔ ๒๕๒๐ เป็นต้น) มีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งว่าการกระทำให้ปราศจากเสรีภาพกฎหมายมุ่งประสงค์ถึงตัวบุคคลดังนั้นถ้าผู้ถูกกระทำยังอาจเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เช่นนี้ฎีกาวินิจฉัยว่าไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๑๐ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๐๔/๒๕๑๘ ถนนซอยในที่ดินเอกชนซึ่งแบ่งให้เช่าปลูกบ้านประชาชนชอบที่จะเข้าออกติดต่อกันได้เป็นสาธารณะการเอารถยนต์ขวางกันไม่ให้รถข้างในออกจากซอยได้นั้นไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ แต่การที่ไม่ยอมถอยรถให้รถข้างในออกไปได้เป็นการข่มเหงตามมาตรา ๒๙๗ ล่ามโซ่ใส่กุญแจประตูใหญ่ทำให้โจทก์ออกจากบริเวณบ้านไม่ได้โจทก์ต้องปืนกำแพงรั้วกระโดดลงมาได้รับบาดเจ็บเป็นความผิดตามมาตรา ๓๑๐ วรรคแรก (ฎีกาที่ ๔๒๘/๒๕๒๐) ใส่กุญแจประตูตึกแถวผู้เช่าเข้าห้องไม่ได้ไม่ผิด ๓๑๐ (ฎีกาที่ ๒๑ ๒๕๓๑)  ก

      จากฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่าบุคคลที่อยู่ในรถสามารถเดินลงจากรถไปยัง ณ ที่อื่น ๆ ได้หรือเดินจากห้องเช่าไปยังที่อื่นได้ตามปกติศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพทำนองเดียวกันกับการขับรถยนต์ปาดหน้าทำให้ต้องหยุดรถไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๐ (ฎีกาที่ ๑๗๑๗/๒๕๒๗) 

      องค์ประกอบข้อสุดท้ายคือองค์ประกอบภายในส่วนของจิตใจ ได้แก่ เจตนาตามมาตรา ๕๙ คือมีเจตนาที่จะหน่วงเหนี่ยวกักขังหรือกระทำด้วยประการอื่นใดทำให้บุคคลปราศจากเสรีภาพในร่างกาย

       คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๐๒๕/๒๕๒๑ จำเลยกับพวกควบคุมตัวผู้เสียหายกับพวกเป็นประกันเพื่อการสะดวกแก่การพาทรัพย์ไปอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์การกระทำของจำเลยย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๐๙ ๓๑๐ อีกกรรมหนึ่งต่างหาก (การควบคุมเป็นการกระทำต่อเสรีภาพไม่ใช่การกระทำต่อเนื้อตัวจิตใจจึงมิใช่การใช้กำลังประทุษร้ายซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานชิงทรัพย์เว้นแต่การหน่วงเหนี่ยวเป็นการประทุษร้ายอยู่ในตัวด้วย) 

       คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๔๒/๒๕๕๙ บ. กับอ. เคยอยู่กินกันอย่างสามีภริยากันได้ ๓ เดือน อ. จึงออกจากบ้านไปบ. สามีพบ อ. ชวน อ. กลับบ้าน อ. ไม่ยอม บ. จึงฉุด อ. เพื่อให้ไปอยู่กินด้วยกันตามเดิมถึงแม้ อ. จะมิใช่ภริยาโดยถูกต้องตามกฎหมายเพราะมิได้จดทะเบียน บ. ก็ไม่มีความผิด (ดูฎีกาที่ ๔๓๐/๒๕๓๒) ซึ่งเป็นเรื่องที่เชื่อว่าตนมีอำนาจที่จะกระทำได้ (ฎีกาที่ ๑๒๒๑/๒๔๗๙) กรณีเหล่านี้เป็นกรณีที่อ้างว่าสำคัญ

       





























   


วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กองมรดกตกทอดเมื่อใด และตกทอดแก่ผู้ใดบ้าง

    กฎหมายที่จะนำมาปรับใช้ในเรื่อง มรดก คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6

    ตาม มาตรา 1599 บัญญัติว่า เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท ทายาทอาจเสียไปซึ่งสิทธิในมรดกได้แต่โดยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น     

    เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท        

    คำว่าตายหมายถึงการตายโดยธรรมชาติและการตายโดยศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1602 วรรคหนึ่ง 

    กองมรดกจะตกทอดแก่ผู้ใดบ้าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1599 วรรคหนึ่งใช้คำว่าทายาทซึ่งเป็นคำกลางๆแต่ตามมาตรา 1603 ได้แบ่งทายาทออกเป็น 2 ประเภทคือทายาทที่เรียกว่าทายาทโดยธรรมซึ่งหมายถึงทายาทตามมาตรา 1629 ซึ่งเป็นมาตราหลักมาตรา 1607,1615 วรรค 2, 1639 ถึงมาตรา 1645 และอีกประเภท คือ ทายาทโดยพินัยกรรม ซึ่งทรัพย์สินใดถ้าเจ้าของทรัพย์สินทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์ของตนไว้ตั้งแต่ก่อนตายแล้ว ทรัพย์สินนั้นจะไม่ตกทอด ทายาทโดยธรรม

    ทายาทมี 2 ประเภท คือ 1 ทายาทโดยธรรม  2 ผู้รับพินัยกรรม

    ดังนั้นจะต้องพิจารณาก่อนว่า ก่อนตายเจ้ามรดกผู้ตายได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองไว้หรือไม่หากทรัพย์สินนั้นเจ้ามรดกมิได้มีการทำพินัยกรรมไว้หรือทำพินัยกรรมไว้แต่พินัยกรรมใช้บังคับไม่ได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นสิทธิแก่ทายาทโดยธรรมตามกฎหมาย

    ทายาทโดยธรรมเกิดขึ้นตามผลของกฎหมายจะมีส่วนแบ่งในการรับมรดกตามมาตรา 1629 ถึงมาตรา 1638 

    ตามมาตรา 1629 บัญญัติว่า ทายาทโดยธรรม 6 ลําดับเท่านั้น และภายใต้บังคับมาตรา 1630 วรรคสอง แต่ละลำดับมีสิทธิได้รับมรดกก่อนหลังดังต่อไปนี้ 

      1.ผู้สืบสันดาน

      2.บิดามารดา

      3.พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน

      4.พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน

      5.ปู่ ย่า ตา ยาย 

      6.ลุง ป้า น้า อา  

    มาตรา 1630 บัญญัติว่า ตราบใดที่มีทายาทซึ่งยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่ยังไม่ขาดสายแล้วแต่กรณีในลำดับหนึ่งๆ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1629 ทายาทผู้ที่อยู่ในลำดับถัดลงไปไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตายเลย 

    แต่ความในวรรคก่อนนี้มิให้ใช้บังคับในกรณีเฉพาะที่มีผู้สืบสันดานคนใดยังมีชีวิตอยู่หรือมีผู้รับมรดกแทนที่กันแล้วแต่กรณีและมีบิดามารดายังมีชีวิตที่อยู่ในกรณีเช่นนั้นให้บิดามารดาได้ส่วนแบ่งเสมือนหนึ่งว่าเป็นทายาทชั้นบุตร

    คำว่าผู้สืบสันดาน ตามมาตรา 1629 วรรค 1 (1) หมายถึงบุตรของเจ้ามรดกเท่านั้น 

    ส่วนพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ตาม มาตรา 1629 วรรคหนึ่ง (3) หรือ ร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน ตาม (4) ถือตามความเป็นจริง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2545, 1397/2551)

    ถ้าเจ้ามรดกเป็นมารดาผู้สืบสันดานคือบุตรไม่ว่าบิดามารดาจะได้จดทะเบียนสมรสกันหรือไม่

    ถ้าเจ้ามรดกเป็นบิดาผู้สืบสันดานได้แก่บุตรที่เกิดแต่บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1536 ถึงมาตรา 1538 บุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่บิดารับรองแล้วหรือบุตรบุญธรรมตามมาตรา 1627 บุตรที่เกิดจากบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่ได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรตามมาตรา 1547 ซึ่งบุตรที่เกิดจากบิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันแม้ในภายหลังศาลจะมีคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ตามก็เป็นผู้สืบสันดาน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2494)

     ดังนั้นเมื่อมีบุคคลใดตาย และมีทรัพย์สิน จะต้องพิจารณาก่อนว่า ทรัพย์สินนั้นผู้ตายเคยทำพินัยกรรมไว้หรือไม่ ถ้ามีการทำพินัยกรรมไว้สิทธิจะตกแก่ผู้รับพินัยกรรมตามที่ผู้ตายได้แสดงเจตนาไว้ก่อนตาย ถ้าไม่มีพินัยกรรม ทรัพย์สินนั้นจะตกแก่ทายาทโดยธรรม ตามลำดับ จาก 1 ถึง 6 

     สิทธิระหว่างทายาทในลำดับต่างๆ ทายาทในลำดับต้นจะตัดทายาทลำดับถัดไป เช่น ถ้าทายาทลำดับที่ 1 มีชีวิตอยู่ หรือตายแล้วแต่มีการรับมรดกแทนที่ ทายาทโดยธรรมที่อยู่ในลำดับ 2 ถึง 6 จะไม่มีสิทธิรับมรดกเลย 

     ข้อยกเว้นการตัดลำดับทายาท ตามมาตรา 1629 คือ ถ้าผู้ตายมีทายาทในลำดับที่ 1 คือผู้สืบสันดานหรือมีการรับมรดกแทนที่ และมีบิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ บิดามารดามีสิทธิรับมรดกด้วยโดยได้ส่วนแบ่งเสมือนเป็นบุตรของผู้ตาย

     การรับมรดกแทนที่ของทายาทโดยธรรมในลำดับที่ 1 ตามมาตรา 1629 เช่น ทายาทลำดับที่ 1 ตายก่อนเจ้ามรดก แต่มีบุตร บุตรของทายาทลำดับที่ 1 มีสิทธิรับมรดกแทนที่ต่อไปได้ และให้มีการรับมรดกแทนที่เช่นนี้ต่อไปจนหมดสาย พูดง่ายๆ คือ ลูก ของเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดก ส่วน หลาน เหลน ลื่อ ฯลฯ ของเจ้ามรดกมีสิทธิรับมรดกแทนที่ 

     ส่วนกรณีทายาทตาม มาตรา 1629 ลำดับที่ 3 ,4, 6 คือพี่น้องของเจ้ามรดก หรือ ลุง ป้า น้า อา ถ้าตายก่อนเจ้ามรดก ลูกก็รับมรดกแทนที่ได้ ถ้าลูกตายอีก หลานก็รับมรดกแทนที่ ถ้าหลานตายอีก เหลนก็รับมรดกแทนที่ ถ้าเหลนตายอีก ลื่อก็รับมรดกแทนที่ ฯลฯ 

     ส่วนกรณีทายาทตาม มาตรา 1629 ลำดับที่ 2 คือบิดามารดา และ ลำดับที่ 5 คือ ปู่ ย่า ตา ยาย กฎหมายห้ามมิให้ มีการรับมรดกแทนที่กัน แต่ให้แบ่งมรดกให้แก่ทายาทในลำดับเดียวกันที่มีชีวิตอยู่ คือ ถ้า เจ้ามรดกตาย บิดาของเจ้ามรดกก็ตาย สิทธิจะตกแก่มารดาเท่านั้น จะไม่ตกแก่พี่น้องของเจ้ามรดกซึ่งเป็นลูกของบิดา ถ้าปู่ของเจ้ามรดกตาย สิทธิก็จะตกแก่ย่า ตา ยาย เท่านั้น จะไม่ตกแก่ลูกของปู่ คือ บิดา เพราะ ปู่จะมีสิทธิรับมรดกของเจ้ามรดกก็ต่อเมื่อ บิดามารดาของเจ้ามรดกซึ่งเป็นทายาทในลำดับก่อนตายหมดแล้ว หากให้มีการรับมรดกแทนที่กัน ก็จะทำให้วนไปวนมา งง

     ส่วนคู่สมรสของเจ้ามรดกที่ยังมีชีวิตอยู่ ต้องแบ่งสินสมรส ออกไปก่อน ในทางปฏิบัติ ก่อนจะแบ่งมรดก ต้อง แบ่งสินสมรส ออกไปก่อน ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งจะเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก ซึ่งทายาทมีสิทธินำส่วนนี้มาแบ่งกันได้ และคู่สมรส ก็ถือว่า เป็นทายาท มีสิทธิรับมรดกในทรัพย์สินซึ่งเป็นส่วนของเจ้ามรดกได้อีกในฐานะทายาท

     จบเพียงแค่นี้ ติดตามได้ในบทความต่อไป

           Add Friend   

                                   

                                  

      

      

     

              

    





   

  

       

    

   






   

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กองมรดก มีอะไรบ้าง

           ความหมายของคำว่า กองมรดก จะต้องทำความเข้าใจให้ได้เพราะหากเป็น กองมรดก แล้วต้องดำเนินการตามมาตรา 1599 ถึงมาตรา 1755 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

           ความหมายของ กองมรดก อยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1600 โดยต้องเป็นทรัพย์สินหรือสิทธิของเจ้ามรดกซึ่งเจ้ามรดกมีอยู่แล้วในเวลาที่เจ้ามรดกตาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2513,2604/2516,17/2524)

           คำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับทรัพย์มรดกที่ควรจดจำมีดังนี้

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2401/ 2515 ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่าแม้เงินพิพาทจะไม่ใช่ทรัพย์มรดกแต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 6 ลักษณะมรดกเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในอันที่จะใช้บังคับได้ศาลฎีกาจึงมีคำวินิจฉัยว่าเงินพิพาทเสมือนหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกจึงตกทอดแก่ทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 ถึงมาตรา 1638 ต่อไป 

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 370 / 2506 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678 - 680/2535 และ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8485/2544 วินิจฉัยเป็นแนวเดียวกันว่าดอกผลของทรัพย์มรดกไม่ใช่ทรัพย์มรดกโดยเฉพาะคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678-680/2535 ได้วินิจฉัยไว้ด้วยว่าเมื่อทายาทปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์ซึ่งเป็นดอกผลของทรัพย์มรดกจึงไม่ถูกกำจัดไม่ให้รับมรดก

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4714/2542 วินิจฉัยว่า เงินประกันชีวิตตามมาตรา 897 มิใช่กองมรดก โดยวินิจฉัยว่าทรัพย์สินใดบ้างเป็นกองมรดก

           คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1174/2508 คำพิพากษานี้วินิจฉัยว่าการทำพินัยกรรมยกศพ เป็นการต่างๆที่ผู้ตายพึงกระทำได้ โดยมิได้วินิจฉัยโดยตรงว่าศพเป็นทรัพย์สินหรือไม่

           เมื่อทราบความหมายของกองมรดกแล้วต่อไปก็จะต้องรู้ว่ากองมรดกจะตกทอดเมื่อใด โดยผู้เขียนจะนำเสนอต่อไป



              Add Friend   

                                   

                                  

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2564

เจ้าหนี้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ยืม มีผลอย่างไร

กรณีเจ้าหนี้มีการแก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ยืม

              บางครั้งฝ่ายเจ้าหนี้ได้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ยืมก่อนแล้วจึงนำมาฟ้องปัญหาว่าผู้กู้จะต้องรับผิดหรือไม่เพียงใดแยกเป็น 5 กรณี 

              5.1 แก้ไขจำนวนเงินในขณะที่เขียนสัญญากู้  กรณีนี้อาจจะเกิดขึ้นเพราะเขียนผิด เช่น กู้กันเพียง 5,000 บาท แต่เขียนผิดเป็น 6,000 บาทจึงแก้ไขให้เป็น 5,000 บาท ตามที่กู้จริงหรือเขียนสัญญากู้ระบุจำนวน 10,000 บาท ขณะกำลังเขียนสัญญาผู้กู้ขอกู้เพิ่มเป็น 20,000 บาท ผู้ให้กู้ตกลงจึงแก้จำนวนเงินเป็น 20,000 บาทตามที่กู้จริงก่อนที่ ผู้กู้จะลงชื่อในสัญญากู้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในกรณีที่มีการแก้ไขตัวเลขจำนวนเงินในขณะเขียนสัญญากู้ แม้ผู้กู้จะไม่ได้ลงชื่อกำกับก็ใช้ได้เพราะถือว่าเป็นเจตนากู้ยืมกันครั้งเดียวตามจำนวนที่แก้ไขแล้วลงชื่อไว้ท้ายสัญญาแห่งเดียวก็ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมโดยสมบูรณ์ (ฎีกาที่ 1154/2511) 

             5.2 แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้เดิม เมื่อมีการกู้ยืมครั้งใหม่หลังจากทำสัญญากู้จนเสร็จสมบูรณ์แล้วต่อมา ผู้กู้ขอกู้เพิ่ม คู่กรณีไม่ทำสัญญาฉบับใหม่ แต่ใช้วิธีเปลี่ยนจำนวนเงินกู้ในสัญญาฉบับเก่าเช่นเดิมกู้ยืมเงิน 10,000 บาท ทำหนังสือสัญญากู้กันไว้ 10,000 บาท เมื่อครบกำหนดเวลาชำระหนี้แล้วผู้กู้ขอกู้เพิ่มอีก 10,000 บาทจึงเอาสัญญากู้ฉบับเดิมมาขีดฆ่าจำนวนเงินเดิมแล้วเขียนใหม่เป็น 20,000 บาท โดยผู้กู้ไม่ได้ลงชื่อกำกับ ต่อมาเจ้าหนี้ฟ้องให้บังคับชำระหนี้เงินกู้ 20,000 บาทตามสัญญากู้ที่มีการแก้ไขดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่าถือว่าการกู้ครั้งใหม่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือผู้กู้รับผิดเฉพาะ การกู้ครั้งแรกเท่านั้น (ฎีกาที่ 326 /2507)

             5.3 แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ให้สูงขึ้นโดยผู้กู้ไม่ยินยอม   เช่นกู้ยืมเงินเพียง 5,000 บาท ต่อมาผู้กู้ไม่ชำระหนี้ผู้ให้กู้จึงเติม 0 อีก 1 ตัวเป็น 50,000 บาท หรือเติม 1 เป็น 15,000 บาท แล้วนำสัญญานั้นมาฟ้องศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่ต้องผิดตามสัญญากู้ปลอม แต่ให้จำเลยผู้กู้รับผิดใช้เงิน 5,000 บาท ตามที่กู้จริง เพราะก่อนฟ้องการกู้เงิน 5,000 บาท มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ (ฎีกาที่ 407/2542, 1149/2552) 

             5.4 สัญญากู้ไม่ได้กรอกจำนวนเงินไว้ มี 2 กรณี

                   5.4.1 ผู้ให้กู้กรอกจำนวนเงินสูงกว่าที่กู้จริง บางครั้งผู้กู้เพียงแต่ลงชื่อเป็นผู้กู้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ซึ่งไม่มีการกรอกจำนวนเงิน เมื่อผู้ให้กู้จะฟ้องคดีจึงกรอกข้อความระบุจำนวนเงินที่กู้สูงกว่าที่กู้จริงเช่นกู้ยืมเงิน 5,000 บาท โดยให้ผู้กู้ลงชื่อในช่องผู้กู้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ ต่อมาผู้กู้ไม่ชำระหนี้ผู้ให้กู้จึงกรอกจำนวนเงินในสัญญากู้เป็น 50,000 บาทหรือ 15,000 บาท ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญากู้ฉบับที่นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอมพิพากษายกฟ้อง โดยผู้กู้ไม่ต้องรับผิดเลย (ฎีกาที่ 2518/2547, 7541/2548, 759/2557) แม้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันจะให้การยอมรับว่ากู้จริง 5,000 บาทก็ตาม (ฎีกาที่ 513/2537 และ 1539/2548) จะเห็นได้ว่าผลแตกต่างกับกรณีตามข้อ 5.3 ที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ชำระหนี้ตามสัญญาฉบับก่อนมีการแก้ไข เพราะในกรณีตามข้อนี้ไม่เคยมีการกรอกจำนวนเงินที่ถูกต้องในสัญญากู้ฉบับที่ถูกต้องเลย 

                   5.4.2 ผู้ให้กู้กรอกจำนวนเงินตามที่กู้จริงถ้าทำสัญญากู้กันโดยผู้กู้ลงชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความต่อมาเมื่อผู้กู้ไม่ชำระหนี้ผู้ให้กู้จึงกรอกข้อความและจำนวนเงินตามความเป็นจริงที่ตกลงกันดังนี้สัญญากู้ดังกล่าวใช้บังคับได้ (ฎีกาที่ 7428/2543, 5685/2548 และ 1483/2551)

             5.5 กรณีที่กู้ยืมเพียงครั้งเดียวแต่ผู้กู้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ ๒ ฉบับ

                  คำพิพากษาฎีกาที่ 730/2508 จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ 7,000 บาท แต่ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ 2 ฉบับ ฉบับแรกระบุจำนวนเงินกู้ 7,000 บาท ฉบับที่สอง 14,000 บาท จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโดยตกลงกันว่าถ้าไม่ชำระหนี้ให้โจทก์นำสัญญากู้ฉบับที่สองมาฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำสัญญากู้ฉบับที่สองมาฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นได้ว่าประโยชน์ที่ผู้ให้กู้ได้รับมากเกินสมควร เป็นการที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ผู้กู้คงต้องรับผิดเฉพาะเงิน 7,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ 14,000 บาท มิได้ค้ำประกันหนี้เงินกู้ 7,000 บาท จึงหาต้องรับผิดด้วยไม่ 

            "ทำสัญญากู้ยืมเงินอย่างไร ไม่เสียเปรียบลูกหนี้"


                            Add Friend   

                                                

                                               


วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2564

ทวงหนี้ไม่เป็นธรรม จูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คโดยรู้อยู่ว่า ลูกหนี้ไม่มีเงิน คุก 1 ปี

                  ทวงหนี้ไม่เป็นธรรม จูงใจให้ลูกหนี้ออกเช็คโดยรู้อยู่ว่า ลูกหนี้ไม่มีเงิน อาจติด คุก 1 ปี

                  เจ้าหนี้ตามทวงหนี้ ลูกหนี้บอกแล้วว่า ยังไม่มีเงิน รอก่อน นะ ไม่ได้หนี ขอผ่อนเวลา ขอผ่อนชำระได้ไหม เจ้าหนี้ ไม่ยอม รู้ว่าลูกหนี้ไม่มีเงิน แต่จูงใจลูกหนี้ให้ออกเช็คให้ เพื่อจะนำเช็คไปขึ้นเงิน ถ้าเช็คเด้ง จะได้เป็นคดีอาญา ลูกหนี้ก็ออกเช็ค แบบนี้ เรียกว่า "เจ้าหนี้ทวงหนี้ไม่เป็นธรรม" ซึ่งถ้าเจ้าหนี้ใช้สิทธิฟ้องตามเช็ค ศาลต้องยกฟ้อง มีตัวอย่างฎีกา คือ 

                 คำพิพากษาศาลฎีกาที่  6581-6582/2556 จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายรู้ดีว่าขณะที่ออกเช็คนั้น จำเลยไม่อาจชำระเงินตามเช็คได้ แต่จำเลยอยู่ในภาวะที่ต้องออกเช็คเพื่อเป็นหลักประกันแก่ผู้เสียหายในเวลาที่ผู้เสียหายรู้ว่าจำเลยยังไม่มีเงินที่จะมาชำระหนี้แก่ผู้เสียหาย จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีเจตนาใช้เช็คพิพาทเป็นการชำระหนี้

                 นอกจากศาลยกฟ้องแล้ว เจ้าหนี้ อาจถูกดำเนินคดีอาญา ฐานความผิด ตาม พระราชบัญญัติทวงถามหนี้ พ.ศ.๒๕๕๘ มาตรา ๑๓ และ มาตรา ๓๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ 

                 "ทวงหนี้อย่างไร ไม่ติดคุก ติดต่อ ทนายความ"


                            Add Friend   

                                                

                                               

                                                      

โพสต์แนะนำ

ข้อพิพาทและการจัดการที่ดินมรดก: มุมมองทางกฎหมายและแนวทางการแก้ไข

  ข้อพิพาทและการจัดการที่ดินมรดก: มุมมองทางกฎหมายและแนวทางการแก้ไข ​1. บทนำ: หลักการพื้นฐานของที่ดินมรดกตามกฎหมายไทย ​1.1 นิยามและขอบเขตขอ...